งูสวัด คือโรคอะไร และเมื่อเป็นงูสวัดห้ามกินอาหารแสลงอะไรบ้าง สารพัดเรื่องโรคผิวหนังใกล้ตัวที่ควรรู้
งูสวัด คือ โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อไวรัสตัวเดียวกันกับโรคอีสุกอีใส ซึ่งเชื้อไวรัสตัวนี้สามารถแอบเนียน ๆ อยู่ในปมประสาทของเรา โดยที่เราไม่รู้ตัวได้เป็นระยะเวลานานหลายปี โดยเฉพาะผู้ที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส แถมช่วงนี้ร่างกายยังมีภูมิต้านทานต่ำ ยิ่งต้องระวังโรคงูสวัดมาเยือนเลย
งูสวัด เกิดจาก ?
งูสวัดเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่พบได้บ้างในประเทศไทย มีสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส ชื่อ วาริเซลลา ซอสเตอร์ ไวรัส (Varicella zoster virus) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า VZV ซึ่งเชื้อชนิดนี้ทำให้เกิดโรคในคนได้ 2 โรค คือ โรคอีสุกอีใสและโรคงูสวัด
งูสวัด เกิดกับใครได้บ้าง ?
งูสวัดเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย และเนื่องจากเป็นโรคที่เกิดจากไวรัสตัวเดียวกันกับโรคอีสุกอีใส ผู้ป่วยโรคงูสวัดจึงมักจะเป็นโรคอีสุกอีใสก่อน และพอหายจากโรคอีสุกอีใสไปแล้วนานเป็นเดือนหรืออาจจะเป็นปี ๆ โรคงูสวัดจึงจะแสดงตัวออกมา โดยเฉพาะกับผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ มีภูมิคุ้มกันโรคน้อยลง เช่น เมื่อสูงอายุ เจ็บป่วย มีความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ อยู่ในสภาวะติดเชื้อเอชไอวี หรือผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับยากดภูมิต้านทาน เป็นต้น
งูสวัด ติดต่อกันทางไหน ?
งูสวัดเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง หากคนที่ไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อนแล้วไปสัมผัสตุ่มน้ำใสของผู้ป่วยโรคงู สวัดหรือหายใจเอาไวรัสจากตุ่มแผลนี้เข้าไปในร่างกายโดยตรง เริ่มแรกโรคอีสุกอีใสจะมาเยือน จากนั้นแม้จะหายจากโรคอีสุกอีใสไปแล้ว แต่เชื้อไวรัส VZV ก็ยังคงแอบอยู่ในปมประสาท รอเวลาเพาะเชื้อที่เหมาะสมเพื่องูสวัดจะได้ปรากฎขึ้นบนผิวหนังของเรา ทว่าหากได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสมาก่อนแล้ว กรณีนี้อาจช่วยลดความเสี่ยงโรคงูสวัดได้นะคะ
งูสวัด อาการเป็นอย่างไร กี่วันหาย
อาการของโรคงูสวัด สามารถพบได้ทั้งที่ใบหน้า ปาก แขน รอบเอว หลัง ขา หรือแม้แต่งูสวัดขึ้นตา แบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้
– เริ่มต้นผู้ป่วยจะมีอาการปวดแสบร้อนลึก ๆ โดยหาสาเหตุไม่ได้ และอาจมีไข้ร่วมด้วย ทั้งนี้เพราะช่วงนี้ภูมิต้านทานของร่างกายลดต่ำลง ทำให้เชื้อไวรัสเริ่มเพิ่มจำนวน เกิดการติดเชื้อที่ระบบประสาท จึงมีอาการปวดแสบร้อนลึก ๆ ในระดับเส้นประสาท
– หลังจากที่ปวดแสบร้อนได้ประมา 2-3 วัน จะเข้าสู่ระยะที่ 2 เริ่มมีผื่นแดง ต่อมากลายเป็นตุ่มน้ำใสเต่ง ๆ (รูปร่างคล้ายหยดน้ำกลิ้งบนใบบัว) เรียงกันเป็นกลุ่ม ๆ เป็นแนวยาว ๆ ตามเส้นประสาทของร่างกายเป็นหย่อม ๆ เช่น ตามความยาวของแขน หรือตามความยาวของขา หรือรอบเอว รอบหลัง หรือศีรษะ เป็นต้น ตุ่มน้ำใสเต่ง ๆ ของงูสวัดนี้จะแตกออกเป็นแผลต่อมาก็จะตกสะเก็ด และหายได้เองภายใน 2 สัปดาห์
– เมื่อตุ่มแตก และแผลหายดีแล้ว (ระยะที่ 3) ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะยังมีอาการปวดแสบร้อนลึก ๆ ตามรอยแนวของโรคที่เกิดขึ้น ในบางคนอาจเกิดได้อีกเป็นเดือน หรือหลาย ๆ เดือน โดยเฉพาะผู้สูงอายุบางคนอาจมีอาการปวดแสบร้อนลึก ๆ หลังจากที่แผลหายดีแล้วเป็นปี ๆ
วิธีรักษางูสวัดและวิธีปฏิบัติตัวเมื่อป่วย
วิธีรักษาโรคงูสวัดมีหลายทางเลือก ซึ่งขึ้นอยู่กับอาการและสภาพของผู้ป่วยในตอนนั้นด้วย โดยการรักษางูสวัดพร้อมทั้งวิธีดูแลตัวเองยามป่วยก็มีดังนี้
– สำหรับผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันปกติ อาจรักษาโรคงูสวัดไปตามอาการ เช่น รับประทานยาแก้ปวด
– การใช้ยาต้านไวรัสอะซัยโคลเวียร์ (acyclovir) ภายใน 48-73 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ ซึ่งตัวยาชนิดนี้มีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส VZV จึงได้ผลดีทั้งผู้ป่วยโรคงูสวัดและอีสุกอีใส รวมถึงโรคเริมด้วย โดยมีทั้งรูปแบบยาเม็ดยาแคปซูล ยาทา และยาฉีด
– ประคบแผลด้วยน้ำเกลือครั้งละประมาณ 10 นาที จำนวน 3-4 ครั้งต่อวัน วิธีนี้ช่วยให้แผลแห้งเร็วขึ้น
– ในรายที่ติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน อาจต้องรับยาปฏิชีวนะชนิดทาหรือรับประทานร่วมด้วย
– ทายาคาลามายด์บรรเทาอาการคัน ถ้าคันมาก อาจกินยาแก้คันร่วมด้วยก็ได้ ทว่าก่อนใช้และกินยาทุกชนิดควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนด้วยนะคะ
– หลีกเลี่ยงการใช้ยาพ่นหรือทายาสมุนไพรลงไปบนแผลโดยตรง เพราะอาจติดเชื้อแบคทีเรีย ส่งผลให้แผลหายช้าและอาจกลายเป็นแผลเป็นได้
– บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ สำหรับผู้ที่มีอาการปากเปื่อยลิ้นเปื่อย
– ห้ามแกะหรือเกาแผลงูสวัดเด็ดขาด และหมั่นอาบน้ำฟอกสบู่ให้สะอาด เพื่อลดความเสี่ยงอาการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน
– สวมเสื้อผ้าหลวม ๆ ใส่สบาย