ดรามาสนั่นหลัง หญิงสาวรายหนึ่ง มีผู้ติดตามในเฟซบุ๊กกว่า 2 แสนคน โพสต์ภาพของตัวเองลักษณะวาบหวิว โดยมีภาพเบื้องหลังเป็นอนุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ติดมาด้วย พร้อมกับเขียนข้อความว่า “โปรดมาเที่ยวเมืองของฉัน”
หลังจากโพสต์ได้ไม่นาน ชาวเน็ตโดยเฉพาะคนจังหวัดบุรีรัมย์ ต่างเข้าไปวิพากษ์วิจารณ์ และแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก มีการขุดค้นประวัติของหญิงคนดังกล่าว ลามไปถึงครอบครัวจนได้รับความเดือดร้อน
ต่อมาเฟซบุ๊กดังกล่าว ได้โพสต์ภาพตัวเองนั่งกราบอนุสาวรีย์ ร.1 พร้อมเขียนข้อความว่า
“ขอโทษคนบุรีรัมย์กับการกระทำครั้งนี้ ที่ทำให้ทุกคนไม่สบายใจ ขอโทษที่มองข้ามความรู้สึกแรงศรัทธาของทุกคนที่รู้สึกไม่ดีกับการกระทำของหนูในครั้ง หนูนี้ยากขอโทษพี่น้องชาวบุรีรัมย์และทุกคนที่มีแรงศรัทธา
หนูไม่ได้มีเจตนาเหยียดหยามหรือด้อยค่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หนูเพียงแต่รู้สึกว่าสถานที่นี้ สวยงามและเป็นเสมือนแลนด์มาร์กประจำจังหวัดบุรีรัมย์ ตัวหนูเองพอมีผู้ติดตามอยู่บ้าง จึงมีเพียงเจตนาเดียวคืออยากให้ทุกคนรู้สึกจังหวัดเรามากยิ่งขึ้น และมาเที่ยวจังหวัดเรามากขึ้น
ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่หนูกล่าวมาอาจดูเห็นแก่ตัว แต่หนูรู้สึกผิดที่สุดจากใจ ขอโทษหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และหนูจะเก็บบทเรียนในครั้งนี้เป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตขอโทษคนที่ติดตาม แล้วทำให้ผิดหวัง ขอโทษจริง ๆ รู้สึกผิด”
นพ.สนธยา วัฒนโกศล เจ้าของคลินิกหมอสนธยา ชื่อดังที่รักษาฟรีในวันสำคัญของของราชวงศ์ และสมาชิก “ชมรมรัก ร.1” เปิดเผยว่า เห็นภาพแล้วรู้สึกไม่สบายใจเพราะเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เด็กอาจจะไม่รู้ว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นผู้ก่อตั้งเมืองบุรีรัมย์เป็นครั้งแรกที่ชื่อว่า “เมืองแป๊ะ” ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นเมืองบุรีรัมย์จนถึงปัจจุบัน
นพ.สนธยา กล่าวต่อว่า แต่ถ้ามาขอโทษคนบุรีรัมย์ และมากราบขอขมาอนุสาวรีย์ ก็พอให้อภัยได้ แต่ไม่อยากจะให้เกิดขึ้นอีกโดยใช้คำว่า “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” สถานที่สิ่งศักดิ์ทุกแห่งคนไทยด้วยกันรู้ดี ดังนั้นจะสมควรหรือไม่ขึ้นอยู่จิตสำนึกของแต่ละคน
ด้าน นางอรทัย พลาพล อายุ 59 ปี ผู้ดูแลสถานที่ ร.1 กล่าวว่า เหตุภาพแล้วรู้สึกไม่สบายใจ เพราะสถานที่แห่งนี้มีทั้งชาวจังหวัดบุรีรัมย์และชาวต่างจังหวัด นักกีฬาชื่อดัง และนักฟุตบอลของทีมบุรีรัมย์ยูไนเต็ด มาบวงสรวงและกราบไหว้เป็นประจำ นางอรทัย กล่าวต่อว่า การขอโทษผ่านเพซบุ๊กของ หนู ส่วนตัวยังรู้สึกว่าไม่เพียงพอ จริงแล้วจะต้องมาทำพิธีขอโทษ และแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบด้วยจึงเหมาะสม