ตร.-กสทช. ตัดวงจร แก๊งคอลเซ็นเตอร์ บุกค้น 2 เป้าหมาย เช่าตึกร้างบังหน้า ลากสายเน็ต 700 เมตร มุดดินข้ามแดนไปโผล่เขมร ก่อนโป๊ะแตกถูกจับได้ใช้เน็ตเยอะผิดสังเกต
จากนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กวดขัน ปราบปรามอย่างเด็ดขาดกับอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.)
จึงสั่งการให้ทุกหน่วยตำรวจในพื้นที่บูรณาการหาข่าว ปราบปรามขยายผลให้ถึงผู้บงการ ยึดทรัพย์ และนำตัวมาดำเนินคดีอย่างเคร่งครัด ซึ่งได้ปรากฏทางการสืบสวนพบว่ามีกลุ่มแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติลอบลากสายอินเทอร์เน็ตมุดดิน-ข้ามแดน จึงได้สั่งการให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการกำลังเข้าปฏิบัติการ
เมื่อวันที่ 2 เม.ย.67 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2), พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง, พล.ต.ต.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ รอง ผบช.ภ.2,
พล.ต.ต.ชัยต์พจน สูวรรณรักษ์ รอง ผบช.ก.ตร.ช่วยราชการ ภ.2/โฆษก ภ.2, พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.), พ.ต.อ.จตุรภัทร สิงหัษฐิต รอง ผบก.ภ.จว.สระแก้ว และ พ.อ.กิตติ ประพิตรไพศาล รอง ผบ.กกล.บูรพา
ร่วมอำนวยการและแถลงผลการจับกุมตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่สั่งการให้ตรวจสอบและจับกุมการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดวันที่ 1 เม.ย. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง, ตำรวจภูธรภาค 2 และตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว สนธิกำลังบูรณาการกับเจ้าหน้าที่สำนักงาน กสทช. และกองทัพบก โดยกองกำลังบูรพา ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 นำหมายค้นจากศาลอาญามีนบุรี และศาลจังหวัดสระแก้ว เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย จำนวน 2 จุด ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ จ.สระแก้ว
จุดแรก เป็นอาคารสำนักงานขายคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งที่ไม่ได้ก่อสร้าง ลักษณะเป็นอาคารร้าง อยู่ในพื้นที่ ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว หลังเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าสถานที่แห่งนี้ใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตที่น่าจะเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการพนันออนไลน์ โดยมีบริษัทเอกชนรายหนึ่งเป็นผู้ขอใช้บริการติดตั้งอินเทอร์เน็ตภายในอาคารดังกล่าว
ซึ่งเป็นสายอินเทอร์เน็ตแบบ leased line ความเร็วสูง (1,000 mbps/200mbps) ซึ่งมากกว่าการใช้อินเทอร์เน็ตตามบ้านเรือนทั่วไปอย่างผิดสังเกต นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการลักลอบฝังสายสัญญาณอินเทอร์เน็ตใต้ดิน ลากผ่านที่ดินของบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่ง ที่อยู่บริเวณด้านหลังอาคารร้างดังกล่าว เป็นระยะทางกว่า 700 เมตร ก่อนจะข้ามแดนไปยังประเทศกัมพูชาและพบอีกว่า ขอใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในลักษณะเดียวกันมาติดตั้งยังอาคารดังกล่าว รวมทั้งหมด 6 วงจร
ตรวจสอบพบหมายเลข IP ที่เปิดให้บริการกว่า 384 หมายเลข มีชื่อผู้ขอใช้บริการอินเทอร์เน็ต จำนวน 4 ราย แต่พบว่าผู้ชำระค่าบริการรายเดือน กลับเป็นบุคคลคนเดียวกัน ทั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนรถขุดดินจากกองกำลังบูรพาฯ เพื่อหาแนววางสายสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ฝังอยู่ใต้ดิน และลากผ่านไปประเทศกัมพูชา
ระหว่างการตรวจค้นอยู่นั้น เจ้าหน้าที่พบว่าสายอินเทอร์เน็ตมีร่องรอยถูกตัดจำนวน 3 เส้น จึงตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่าก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเข้าค้นอาคารดังกล่าวไม่ถึง 1 ชั่วโมง ปรากฏภาพชาย 2 คน เข้ามาตัดสายอินเทอร์เน็ตดังกล่าว จึงติดตามตัวชายทั้ง 2 คนมาสอบถาม ได้ความว่ารับคำสั่งจาก “นาย ป.” ให้มาตัดสายดังกล่าว
จุดที่ 2 เจ้าหน้าที่อีกชุดเข้าตรวจสอบบริษัทให้บริการเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต แขวงออเงิน เขตสายไหม หลังพบว่าเป็นบริษัทที่มีชื่อขอใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตภายในอาคารร้างที่ จ.สระแก้ว พบตัว “นาย ก.” เป็นกรรมการบริษัทฯ และเป็นผู้ชำระค่าบริการอินเทอร์เน็ตภายในอาคารร้าง
จากการตรวจค้นพบเอกสารเกี่ยวกับการเช่าใช้บริการอินเทอร์เน็ตที่อาคารร้างดังกล่าว และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้อง รวม 9 รายการ จากการสอบถาม “นาย ก.” รับว่าตนเป็นผู้ขอใช้อินเทอร์เน็ตและติดตั้งสายสัญญาณด้วยตนเอง รับว่าจ้างมาจาก “นาย ป.” เป็นรายเดือนๆ ละ 300,000 บาท เป็นเวลาเกือบ 2 ปี
การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามมาตรา 67 (1) พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 ฐานประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท โดยหลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะขยายผลไปถึงผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ ปฏิบัติการในครั้งนี้ถือเป็นการป้องกันและตัดวงจรการก่ออาชญากรรมทางออนไลน์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การหลอกลวง หรือฉ้อโกงต่างๆ ลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต หากประชาชนมีเบาะแส หรือได้รับความเดือดร้อน สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ www.thaipoliceonline.go.th หรือ สายด่วน AOC 1441