ศธ.สั่งปิด 582 โรงเรียน ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังสถานการณ์ตึงเครียด

ศธ.สั่งปิด 582 โรงเรียน ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังสถานการณ์ตึงเครียด พบเด็กเสียชีวิต 2 ราย จากกระสุน BM21 ของฝ่ายกัมพูชาตกใส่

วันที่ 24 ก.ค.2568 นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้รายงานมาว่ามีการสั่งปิดโรงเรียนในสังกัดบริเวณพื้นที่เกิดเหตุทั้งหมด 582 แห่ง ในจ.สุรินทร์ จ.ศรีสะเกษ และ จ.บุรีรัมย์ ทั้งนี้ได้รับรายงาน ว่ามีนักเรียน เสียชีวิต 2 ราย ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย จากเหตุการณ์ที่กระสุน BM21 จากฝ่ายกัมพูชาตกใส่พื้นที่อยู่อาศัยในจ.สุรินทร์และจ.ศรีสะเกษ

“เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นระหว่างที่นักเรียนกำลังเดินทางกลับบ้าน หลังจากมีคำสั่งปิดโรงเรียน ซึ่งการสั่งหยุดโรงเรียนจะพิจารณาจากความปลอดภัย หากเหตุการณ์ยังไม่สงบจะให้หลบอยู่ในหลุมหลบภัย แต่การสูญเสียที่เกิดขึ้นเนื่องจากเสียงปืนสงบลงแล้วจึงได้มีการสั่งปิดโรงเรียนและให้นักเรียนเดินทางกลับที่พักอาศัย

ในนามของศธ. สพฐ. และรัฐบาลขอแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ รวมไปถึงประชาชนในพื้นที่ ซึ่งเราไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้ แต่ในเมื่อเกิดขึ้นแล้วทางศธ.ก็จะทำหน้าที่ในการดูแลครอบครัวของผู้ได้รับผลกระทบให้ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ซึ่งทางสพฐ.จะมีกองทุนสำหรับเยียวยาครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน” นางนฤมล กล่าว

นางนฤมล กล่าวต่อว่า ทางศธ.ได้มีการวางแผนรับมือต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไว้แล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดแม้แต่กองทัพเองก็ไม่ทราบว่าทางกัมพูชาจะเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงเข้ามาก่อน

ทั้งนี้กองทัพจะเป็นผู้ดูแลบริเวณพื้นที่เกิดเหตุอยู่แล้ว ขณะเดียวกันศธ.ก็มีโรงเรียนในสังกัดที่อยู่ห่างไกลจากพื้นที่อันตรายและพร้อมจะตั้งเป็นศูนย์พักพิงให้กับประชาชนในพื้นที่และได้มีการเริ่มดำเนินการไปแล้วบางส่วน ซึ่งจะมีการประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนในพื้นที่ต่อไป

“สำหรับระยะเวลาการสั่งปิดโรงเรียนจะต้องติดตามสถานการณ์จากกระทรวงกลาโหมเพื่อดูความมั่นคงในพื้นที่ ซึ่งหากมีการปิดเรียนเป็นระยะเวลานานทางสพฐ.ได้มีการเตรียมแผนสำรองสำหรับการเรียนการสอน เช่น การเรียนออนไลน์ผ่านระบบที่เคยใช้ตอนสถานการณ์แพร่ระบาดโคโรนาไวรัส2019 หรือโควิด-19 เป็นต้น”นางนฤมล กล่าว…