>h5
ทำความรู้จัก 6 ไม้ยืนต้นดอกสีเหลือง พร้อมวิธีการปลูกและการดูแล แค่ลงมือปลูกคนละต้น ก็ช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวและอากาศบริสุทธิ์ให้กับเมืองได้แล้ว
/h5>
>h5
นอกจากต้นไม้จะผลิดอกออกใบทำให้พื้นที่สวยงามน่ามองแล้ว สำหรับไม้ยืนต้นยังแผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาให้กับบ้าน และเนื่องจากในช่วงเดือนมกราคม ปี 2563 ทาง กทม. จะเริ่มแจกจ่ายต้นกล้า 1 ล้านต้น จากโครงการ “มอบล้านกล้า สู่ล้านต้น จากล้านคน สู่สังคมเมือง” ได้แก่ ต้นทองอุไร ทรงบาดาล เหลืองปรีดียาธร รวงผึ้ง นนทรี และประดู่ โดยมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนนำไปปลูกกัน เพื่อพื้นที่สีเขียวให้กับเมือง แถมมีคุณสมบัติช่วยดูดซับสารพิษ วันนี้กระปุกดอทคอมขออาสาพาทุกคนไปรู้จักกับ ต้นไม้จัดสวน ไม้ยืนต้นดอกสีเหลืองทั้ง 6 สายพันธุ์ พร้อมวิธีปลูกและการดูแลกันค่ะ
/h5>
>h5
1. ต้นทองอุไร
/h5>
>h5
นับเป็น ต้นไม้มงคล อีกหนึ่งชนิดที่คนไทยนิยมปลูก ซึ่งมีความเชื่อกันว่าหากบ้านใดปลูกทองอุไรไว้ที่บ้าน จะช่วยส่งเสริมดวงชะตาให้มีความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่งไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง อีกทั้งยังส่งเสริมบารมีและวาสนาให้กับผู้ปลูกอีกด้วย ส่วนของชื่อนั้นก็แตกต่างออกไปตามท้องถิ่น เช่น ดอกละคร พวงอุไร และสร้อยทอง ลำต้นเป็นไม้พุ่มเรือนยอดทรงกลมหรือรูปไข่ ความสูงประมาณ 2-5 เมตร ไม่ผลัดใบ ใบคล้ายรูปหอก ขอบใบหยัก ใต้ใบมีขนละเอียด มักจะออกดอกช่วงกลางปีระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน ซึ่งดอกทองอุไรจะมีสีเหลืองสด ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ลักษณะของดอกคล้ายรูปแตร ปลายกลีบดอกแยกเป็น 5 กลีบ หากจะนำไปจัดสวนควรปลูกในดินที่ระบายน้ำดี เช่น ดินร่วน มีความชื้นปานกลาง และโดนแดดเต็มวัน บำรุงด้วยการใส่ปุ๋ยอินทรีย์และหมั่นตัดแต่งกิ่งอยู่เสมอก็จะช่วยทำให้มีดอกสวยงามและได้ชมดอกตลอดทั้งปี
/h5>
>h5
2. ต้นทรงบาดาล
/h5>
>h5
ทรงบาดาล หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันว่า ขี้เหล็กบ้าน ขี้เหล็กหวาน สะเกิ้ง และสะโก้ง เป็นพรรณไม้จากต่างประเทศ ที่นิยมนำมาปลูกจัดสวนเพราะเข้ากับสภาพอากาศของไทยได้ดี ลักษณะทรงบาดาลเป็นไม้พุ่มขนาดเล็กความสูงประมาณ 5-10 เมตร ลักษณะเป็นใบประกอบคือ แตกเป็นใบเล็ก ๆ สลับซ้าย-ขวาตามกิ่งใบ ท้องใบมีขนเล็กน้อย ออกดอกเป็นช่อสีเหลืองอร่าม แต่ละดอกมีกลีบ 5 กลีบ และสามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี ทั้งนี้ต้นทรงบาดาลสามารถปลูกได้ในดินทุกชนิด แต่จะเจริญเติบโตได้ดีที่สุดในดินร่วนและพื้นที่ที่มีแสงแดดจัด ไม่ต้องรดน้ำบ่อย เพราะไม่ชอบน้ำมาก
/h5>
>h5
3. ต้นเหลืองปรีดียาธร
/h5>
>h5
ไม่ต้องแปลกใจหากจะรู้สึกคุ้นหูกับชื่อของต้นไม้ชนิดนี้ ก็เป็นเพราะว่าชื่อของเหลืองปรีดียาธรนั้น ตั้งตามนามของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล นักการเมืองและอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หลังจากที่มีการนำต้นตาเบบูญ่าจากอเมริกาใต้เข้ามาขึ้นทะเบียนในไทย ซึ่งมีอีกหนึ่งชื่อเรียกว่า ตาเบเหลือง ลักษณะเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กความสูงไม่เกิน 8 เมตร โตช้า ผลัดใบ โดยใบของต้นเหลืองปรีดียาธรมีลักษณะแบบใบประกอบคล้ายนิ้วมือ ทรงรีขอบเรียบ มีสีเขียวเคลือบเงิน ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีเหลืองเชื่อมติดกันคล้ายรูปแตร บานสะพรั่งในช่วงต้นปีระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม เหมาะสำหรับปลูกในดินร่วน ระบายน้ำได้ดี ชอบน้ำปานกลาง และแสงแดดจัด ทนแล้งได้ดี
/h5>
>h5
4. ต้นรวงผึ้ง
/h5>
>h5
เหตุที่ ต้นรวงผึ้ง ถูกยกให้เป็นต้นไม้ประจำราชกาลที่ 10 นั้น นอกจากจะเป็นเพราะว่ามีสีเหลืองอร่ามและผลิดอกช่วงวันพระราชสมภพแล้ว พระองค์มักจะทรงนำต้นไม้ชนิดนี้ไปปลูกและพระราชทานให้กับราษฎรขณะเสด็จพระราชดำเนินไปประกอบพระราชกรณียกิจตามสถานที่ต่าง ๆ มีลักษณะเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ทรงพุ่มมน ผิวใบสีเขียวส่วนใต้ใบเป็นสีน้ำตาล ออกดอกตามซอกใบช่วงเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม มีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นน้ำผึ้งตลอดทั้งวัน ไม่ต้องการดูแลมาก ใบร่วงน้อย ทั้งนี้ขึ้นได้ดีทั้งที่แห้งและค่อนข้างชื้น ทนแล้งได้ดี เหมาะสำหรับปลูกในที่แจ้งมีแดดส่องถึงตลอดทั้งวัน
/h5>
>h5
5. ต้นนนทรี
/h5>
>h5
ต้นนนทรี หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า กระถินป่า กระถินแดง หรือสารเงิน เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่สามารถโตได้ถึง 25 เมตร ลำต้นเป็นทรงพุ่ม ลักษณะเป็นใบขนาดเล็กคล้ายใบมะขาม ขึ้นเป็นคู่ประมาณ 10-15 คู่ต่อก้าน ทรงรีมนทั้งโคนใบและปลายใบ ขอบใบเรียบ ใต้ใบสีอ่อนกว่าด้านบนของใบเล็กน้อย ออกดอกเป็นช่อตรงปลายยอด ประกอบด้วยดอกย่อย 15-30 ดอก จะเริ่มผลิดอกตั้งแต่เดือนมีนาคมไปจนถึงมิถุนายน เนื่องจากมีใบหนาแน่นจึงนิยมปลูกให้ร่มเงา แต่ก็ไม่ควรปลูกใกล้บ้านจนเกินไปเพราะกิ่งค่อนข้างเปราะ ไม่ทนแรงลม อาจแตกหักได้ ส่วนการเพาะปลูกสามารถปลูกได้ในดินทุกประเภท ทนแล้งทนแดดได้ดี นอกจากนี้นนทรียังจัดอยู่ในพืชตระกูลถั่ว ดังนั้นใบแก่ที่ร่วงจากต้นยังกลายเป็นปุ๋ยเพิ่มสารให้ดินได้อีกด้วย โดยดูแลง่าย ๆ ด้วยการหมั่นตัดแต่งทรงต้นอย่างน้อยปีละครั้ง
/h5>
>h5
6. ต้นประดู่
/h5>
>h5
อีกหนึ่งต้นไม้มงคลประจำบ้าน ที่คนโบราณเชื่อกันว่า หากปลูกแล้วจะทำให้เกิดความปรองดอง ร่วมมือร่วมใจ และสามัคคี ซึ่งมีลักษณะเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ลำต้นตั้งตรงความสูงประมาณ 15-30 เมตร ยอดเป็นพุ่มทรงกลม แตกกิ่งก้านสาขาน้อย ใบออกรวมกันเป็นช่อ โคนมนปลายแหลม ผิวใบเป็นมันสีเขียว ขอบใบเรียบ ใบจะร่วงมากในช่วงฤดูร้อน ก่อนผลิดอกในช่วงย่างเข้าฤดูฝน ลักษณะของดอกออกเป็นช่อตรงโคนก้านใบและปลายกิ่ง ดอกขนาดเล็กแต่มีกลิ่นหอมแรง และส่งกลิ่นหอมได้ไกล เหมาะสำหรับปลูกในดินร่วนปนทราย ดินทราย หรือดินร่วนปนดินเหนียว แต่ต้องระบายน้ำได้ดี พื้นที่ปลูกมีแสงแดดเต็มวัน และรดน้ำวันละ 1 ครั้ง
/h5>
>h5
ไม้ยืนต้นทั้ง 6 สายพันธุ์นี้ไม่ได้แค่ให้ร่มเงาและช่วยทำให้มีพื้นที่สีเขียวมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยดูดซับสารพิษในอากาศให้กลับมาบริสุทธิ์อีกครั้งด้วย บอกเลยว่าน่าปลูกทุกต้นจริง ๆ
/h5>
>h5
ที่มา อุทยานสวนจตุจักร, อุทยานหลวงราชพฤกษ์, สารานุกรมพันธุ์ไม้, สมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย และสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
/h5>