พระดังชี้ สวดมนต์ไม่ช่วย ไล่โควิด-19 ยกเหตุการณ์อดีต ห่าระบาด ก็เคยสวด แต่ช่วยไม่ได้!

พระดังชี้ สวดมนต์ไม่ช่วย ไล่โควิด-19 ยกเหตุการณ์อดีต ห่าระบาด ก็เคยสวด แต่ช่วยไม่ได้!


กรณี รัฐบาล เตรียมจัดสวดมนต์ใหญ่ปัดเป่า โควิด-19 พร้อมกันทั่วประเทศ 25 มี.ค. โดยสวดบทพระรัตนสูตร พร้อมกราบทูลเชิญสมเด็จพระสังฆราชเป็นองค์ประธานในพิธี

ต่อเรื่องดังกล่าว พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ แห่งวัดสร้อยทอง แสดงความคิดเห็นกรณีดังกล่าว ผ่านเฟซบุ๊ก ความว่า การสวดมนต์ไม่ช่วยขับไล่โรคระบาด

ในสมัยโบราณเก่าก่อน เริ่มต้นแต่รัชกาลที่ 2 มา ในปีพุทธศักราช 2363 เกิดโรคห่าระบาด คนในพระนครล้มตายมากกว่า 30,000 ชีวิต (หรืออาจมากกว่านี้ด้วยซ้ำ) แม้แต่ภายในราชสำนักเอง ยังอยู่เฉยกับวิกฤตการณ์ครั้งนั้นไม่ได้ มีการให้ตั้งพระราชพิธีอาพาธพินาศ มีการให้นิมนต์พระสงฆ์จำนวน 500 รูป เพื่อสวดพระปริตรและประพรมน้ำพระพุทธมนต์กำจัดโรคระบาด

ในบันทึกพระราชพิธีสิบสองเดือน ตอนหนึ่งอธิบายถึงอาฎานาฎิยสูตร ที่ใช้ในพระราชพิธีอาพาธพินาศว่า

“…แต่การพระราชพิธีนั้นเปนการคาดคะเนทำขึ้น มิใช่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสั่งสอนไว้ให้ทำสำหรับแก้ไขโรคภัยเช่นนี้ จึ่งได้คิดขับไล่ผีเป็นการผิดอิกขั้นหนึ่งด้วย เพราะโรคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยผี เกิดขึ้นด้วยดินฟ้าอากาศ แลความประพฤติที่อยู่กินของมนุษย์ ซึ่งเปนสิ่งที่ไม่มีวิญญาจะขับไล่ได้…”

เมื่อได้อ่านตามบันทึกนี้แล้ว เราจะเห็นได้ชัดว่า การจัดให้มีพระราชพิธีหลวงและการนิมนต์พระสงฆ์ให้ไปสวดพระปริตร ไม่ได้ช่วยให้โรคห่าหายระบาดแต่อย่างใดเลย มิหนำซ้ำยังทำให้โรคเกิดระบาดร้ายแรงยิ่งขึ้นไปอีก ดังที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ทรงบันทึกถึงคำบอกเล่าในการพระราชพิธีที่ทำนี้ว่า

“…มีเรื่องราวอันเป็นที่พึงกลัวเป็นอันมาก เป็นต้นว่าคนที่เข้ากระบวนแห่และหามพระพุทธรูป และพระสงฆ์เดินไปกลางทางก็ล้มลงขาดใจตาย ที่กลับมาถึงบ้านแล้วจึ่งตายก็มีมาก และตั้งแต่ตั้งพิธีแล้วโรคนั้นก็ยิ่งกำเริบร้ายแรงหนักขึ้น…คนทั้งปวงก็พากันลงว่าเพราะการพิธีนั้นสู้ผีไม่ได้ ผีมีกำลังกล้ากว่า ตั้งแต่ทำพิธีอาพาธพินาศในปีมะโรงโทศกนั้น ไม่ระงับโรคประจุบันได้ ก็เป็นอันเลิกกันไม่ได้ทำอีกต่อไป…”

อาตมาเห็นข่าวที่สำนักงานพุทธเสนอจะให้มีการจัดสวดมนต์เพื่อขับไล่โรคโควิค หรือแม้แต่ที่อ้างว่า เพื่อเป็นการให้กำลังใจอะไรก็ตามแต่ คืออาตมาอยากให้ดูอดีตเป็นตัวอย่างบ้างนะ

คนโบราณยังเข้าใจเลยว่าโรคภัยนั้น “…เกิดขึ้นด้วยดินฟ้าอากาศ แลความประพฤติที่อยู่กินของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีวิญญาจะขับไล่ได้…” แล้วพวกเราซึ่งเกิดในยุคนี้ ทำไมจึงยังจะทำในสิ่งที่คนโบราณท่านเคยลองทำแล้วและไม่เป็นผลอีก

การอ้างแต่เรื่องความสบายใจ อาตมาเห็นว่าควรระมัดระวังมาก อย่าให้มันเป็นยากล่อม ทำให้คนเมินเฉยที่จะไม่ตระหนักถึงการป้องกันการดูแลตัวเองอย่างถูกต้องและเป็นเหตุเป็นผล องค์กรทางศาสนาพุทธควรเป็นแบบอย่าง เหมือนที่โบสถ์คริสต์บางแห่งเขาทำกันแล้ว กิจกรรมใดที่จะต้องอาศัยการรวมตัว หรืออยู่ด้วยคนหมู่มาก กิจกรรมนั้นควรยกเลิกเสีย

ถ้าจะเอาเรื่องการสร้างขวัญกำลังใจเป็นสำคัญ อาตมาเห็นว่า การภาวนาและการส่งความปรารถนาดีเป็นสิ่งที่เราทุกคนสามารถทำได้ ทั้งนี้โดยไม่จำเป็นต้องรวมตัวกันสวดมนต์ หรือชุมนุมกันทำกิจกรรมใดๆ อันจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่มากขึ้น ขอให้ได้ลองพิจารณาดู

ที่มา https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_3779864