เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 22 พ.ค. ที่ เทิดราชัน 13 นายเอ ( นามสมมุติ ) บิดาของ 13 ถ.เทิดราชัน แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ ได้เปิดใจกับสื่อมวลชน หลังจาก นางสาวนิษฐาหรือแม่ปุ๊ก (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี ถูกจับตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 675/2563 ลง 18 พฤษภาคม 2563 ใน ข้อกล่าวหา “รับไว้ซึ่งเด็กโดยมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ,พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน,ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย,ฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น
นายเอ กล่าวว่า เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ กว่า 20 คน ได้มาแสดงหมายจับลูกสาวของตนที่อยู่ที่บ้าน ตอนนั้นทุกคนก็ตกใจกันหมด ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตำรวจมาอ่านหมายจับ จากนั้นก็พาตัวลูกสาวขึ้นไปยัง กองบังคับการปราบปรามทันที ตนจึงได้ขับรถตามไปชี้แจงกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในเรื่องที่ลูกสาวถูกกล่าวหาหา แอบเอาสารพิษ หยอดให้กับหลาน จนมีคนหนึ่งเสียชีวิต และอีกคนหนึ่งป่วยหนัก
ตนอยากชี้แจงเรื่องทั้งหมดว่า ตนก็เพิ่งมาทราบว่า ความจริงแล้ว น้องยิ้มไม่ได้เป็นลูกของ ลูกสาว เพราะลูกบอกว่า ไปรับมาจากบ้านเช่า แต่น้องอิ่มนั้น เป็นลูกแท้ ๆ เพราะว่า ตนเป็นคนไปส่งลูกตอนที่คลอดเอง ส่วนเรื่องน้องยิ้มนั้น ตนไม่ทราบเลยว่าลูกสาวไปรีบเลี้ยงมาจากไหน โดยกรณีของน้องยิ้ม น้องได้เสียชีวิตไป เมื่อช่วงเดือนธันวาคม ปี 62 อาการของน้องนั้นมีความดันสูงมา และต้องใช้ยาที่มีสเตียรอยด์ในการคุมความดันเอาไว้ ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง แต่ว่าอาการของน้องยิ้ม ไม่มีสารเคมีในร่างกาย
ส่วนน้องอิ่มมีอาการช่วงเดือนมกราคม 2562 น้องเข้าโรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง น้องมีอาการป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ จากนั้นก็เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ แพทย์บอกว่า เป็นอาการภูมิแพ้ จากนั้น ก็รักษาตัวมาเรื่อย ๆ ไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลเลย กระทั่ง ปลายเดือนมกราคม แพทย์บอกว่า น้องอิ่มมีสารเคมี ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี ไม่มีรส ปะปนอยู่ในร่างกาย ตนก็ตกใจมาก เพราะว่าที่บ้านก็เลี้ยงดูอย่างดี บ้านไม่ได้ติดกับโรงงานอุตสาหกรรมอะไรเลย เมื่อเราถามต่อว่า สารที่พบคือสารอะไร ทางแพทย์ก็ไม่ตอบอะไรเลย จนถึงกระทั่งตอนนี้ ลูกสาวก็ถูกหมายจับ
“สำหรับผม ผมคิดว่ามันไม่แฟร์เลย เพราะตนเชื่อว่าลูกสาวไม่ได้ทำ ไม่เข้าใจว่าจะทำแบบนั้นไม่ทำไม ถ้าหากทำเพื่อจะเอาเงินบริจาค ก็ไม่รู้จะเอาไปทำไม ในเมื่อเอามาแล้ว ก็ต้องมานั่งรักษาหลานของตัวเอง ผมรู้สึกว่ามันไม่คุ้ม และอีกอย่าง ผมคิดว่า ผลที่ออกมา น่าจะเกิดจากความผิดพลาดของแพทย์ที่โรงพยาบาล เพราะว่า ผมเลี้ยงหลานมาแบบปกติเลย”
“ผมคาใจกับทางแพทย์มาก ทั้งที่เราไม่เคยคุย ไม่เคยรู้จักอะไรเลย แต่บอกว่า ลูกสาวเป็นผู้ป่วยโรคจิต วางยาลูก เอาเงินบริจาค แต่ลูกสาวเองก็ไม่เคยมารักษาอาการทางจิตเลย ผมเหมือนรู้สึกว่าลูกสาวถูกปรักปรำ ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้ มันรุนแรงกับครอบครัวของเรามาก ผมรับไม่ได้ และตัวขอลูกสาวเอง ก็ให้ปากคำกับตำรวจหนักแน่น ว่าไม่ได้เป็นคนทำ ตอนที่หมอแจ้งนั้น เขาก็ไม่ได้บอกเลยว่าท่าทีจะเป็นยังไง รู้แค่ว่า เขาบอกเราว่า น้องมีสารพิษในร่างกาย และลักษณะของการบอกก็เหมือนสงสัยแล้ว ว่าลูกสาวผมเป็นคนทำ”
โดยที่ผ่านมา ลูกสาวก็มีมาปรึกษา ว่าน้องยิ้มป่วย จะหาเงินรักษายังไงดี เราเลยคิดว่าลงโพสต์ขอความช่วยเหลือในเฟซดีมั้ย ปรึกษากันหลายฝ่าย ก็คิดว่า จะลองโพสต์ดู จากนั้นก็มีคนเข้ามาบริจาคมากมาย จนกระทั่งได้เงินตามที่ต้องรักษาน้องแล้ว ก็ปิดรับเงินบริจาค เพราะว่า ค่ารักษาของน้อง มันเยอะมาก น้องยิ้มอยู่ในหลักล้าน ส่วนน้องอิ่มประมาณ หลักหมื่น และนอกจากนี้ ลูกสาวก็ขายของออนไลน์ เอาเงินมารักษาหลายด้วย ส่วนในกรณีที่มีคนเข้ามาซื้อของแล้วไม่ได้ของ แล้วมาหาที่หน้าบ้านนั้น ตอนนี้ก็เคลียร์กันไปหมดแล้ว ส่วนเรื่องอื่นตนก็ไม่ทราบ
ซึ่งตอนนี้ น้องอิ่มอยู่กับ เจ้าหน้าที่ พม. ตนเคยไปเยี่ยมอยู่ ก็เห็นม่าหลานใช้ชีวิตปกติ สดใสร่าเริง และน่าจะหายจากอาการป่วยแล้ว ส่วนตนและครอบครัวก็เครียดมาก กำลังหาเงิน 3 แสนบาท เพื่อจะไปหาเงินประกันตัวลูกสาวอยู่
ที่มา ข่าวสดออนไลน์