ผ่าคดีฆ่าชิงทรัพย์สาวคอน! ตำรวจเผยมีหลักฐานยืนยัน เเม่อาจเป็นคนร้ายฆ่าลูก

จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2563 เมื่อมีผู้พบศพ น.ส.ชลธิชา จินดาวงศ์ อายุ 29 ปี ถูกคนร้ายใช้ไขควงแทงเสียชีวิตในบ้านพัก อ.บางขัน จ.นครศรีธรรมราช เบื้องต้นนายอนันต์ จินดาวงศ์ และ นางประทีป จินดาวงศ์ พ่อกับแม่ของ น.ส.ชลธิชา แจ้งกับตำรวจว่าได้ออกไปกรีดยางพารา ส่วนน.ส.ชลธิชาอยู่บ้านตามลำพัง และถูกคนร้ายงัดประตูบ้านบุกเข้ามาฆ่าชิงทรัพย์

เเต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.บางขัน ตรวจสอบกลับพบพิรุธหลายอย่าง เเละได้ทำการสืบสวน สอบสวนมานานกว่า 2 เดือน รวบรวมหลักฐานต่างๆ จนได้หลักฐานที่น่าเชื่อว่า คนร้ายคือ นางประทีป จินดาวงศ์ อายุ 54 ปี เป็นเเม่ของน.ส.ชลธิชา ลงมือฆ่าลูกสาวตนเอง

พนักงานสอบสวน สภ.บางขัน นำหลักฐานไปเสนอต่อศาลจังหวัดทุ่งสง เพื่อขอออกหมายจับนางประทีป ศาลได้อนุมัติหมายจับเลขที่ 143/2563 ลงวันที่ 29 พ.ค.2563 ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ตำรวจเข้าจับกุมตัวนางประทีปที่บ้านที่เกิดเหตุ ก่อนนำไปสอบปากคำ เบื้องต้นนางประทีปให้การปฏิเสธว่าไม่รู้เห็นกับการตายของลูก ก่อนใช้หลักทรัพย์ 200,000 บาทประกันตัวออกไป

พ.ต.อ.สมพร เผยว่า ได้สืบสวนนางประทีป พบมีพิรุธหลายอย่าง ผิดกับวิสัยของแม่ที่สูญเสียลูก คือ ควรติดตามคดีอย่างต่อเนื่อง แต่เท่าที่ดูพฤติกรรมของครอบครัวนี้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ลูกถูกฆ่าตาย ซึ่งแม้นางประทีปจะให้การปฏิเสธ แต่ตำรวจมีพยานหลักฐานต่างๆ ที่ชัดเจน มั่นใจว่าจะสามารถดำเนินคดีได้แน่นอน

“ข้อพิรุธที่เก็บหลักฐานชิ้นสำคัญได้คือ ไขควงที่ใช้ก่อเหตุเป็นของในบ้าน และร่องรอยงัดแงะก็งัดมาจากภายใน ไม่ได้งัดด้านนอก แล้ววางแผนว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ ส่วนจะมีบุคคลอื่นร่วมหรือไม่นั้นยังต้องสอบสวนด้วย และสาเหตุที่ญาติใกล้ชิดเห็นตรงกับพนักงานสอบสวน พบว่ามาจากความขัดแย้งเรื่องทรัพย์สินภายในครอบครัว ขั้นตอนต่อไปจะรวบรวมพยานหลักฐานส่งอัยการเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย” พ.ต.อ.สมพรกล่าว

เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2563 นางประทีปที่กำลังเลี้ยงดูลูกสาวอายุ 18 ปี พิการทางสมอง นำรูปถ่ายของน.ส.ชลธิชาในมือถือ พร้อมกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า “ขอให้ดลบันดาลให้ตำรวจได้รู้ตัวคนร้ายที่แท้จริงที่ฆ่าลูก ตอนนี้แม่ถูกปรักปรำใส่ร้าย แม่ไม่เคยคิดทำลูกที่เลี้ยงดูมา 29 ปี”

นางประทีปกล่าวว่า ต้องขอความเป็นธรรมให้ตนที่ถูกกล่าวหา คนที่เผยเเพร่ลงในโซเชียลควรมีหลักฐานก่อน ตนรู้ว่าใครเป็นคนฆ่าลูกเเต่ไม่มีหลักฐาน ไม่มีร่องรอย ไม่มีลายนิ้วมือ เเล้วโยนความผิดมาให้ตนเอง จนทำให้ถูกเเจ้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา จึงใช้หลักทรัพย์ประกันตัวออกมา เเละปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เพราะตนถูกใส่ความ

“ฉันรู้ดีว่าใครเป็นคนฆ่าลูก แต่ไม่มีหลักฐานสาวถึง แต่บอกได้เลยว่าเป็นญาติสนิทที่มีความขัดแย้งกับครอบครัว ในเรื่องมรดกที่ดิน สวนปาล์มน้ำมัน 10 ไร่ ซึ่งขัดแย้งกันมานาน ถ้าฉันคิดฆ่าฆ่าลูกคนเล็กไม่ดีกว่าหรือ เพราะพิการทางสมองและเป็นภาระที่ต้องเลี้ยงดูมานาน ฉันป่วยหลายโรคไม่มีแรงที่จะไปก่อเหตุคิดฆ่าลูกตัวเองแน่นอน ขอสาบานกับพ่อท่านไข่ ถ้าฉันทำขอให้ตายวันตายคืน” นางประทีปกล่าวสาบานทั้งน้ำตา

ขณะที่พ.ต.อ.สมพรชี้แจงเพิ่มเติมว่า แม้นางประทีปจะปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่ตำรวจมีหลักฐานที่ชัดเจนพอที่จะเอาผิดได้ ซึ่งการสืบสวนสอบสวนพบว่าสาเหตุมาจากทะเลาะกับลูกสาวเรื่องที่ดิน ซึ่งพ่อได้มอบให้ผู้ตาย โดยผู้เป็นแม่จะขายแต่ผู้ตายไม่ยอม และเงินที่บ้านหายไป 2,000 บาท ทำให้แม่ลูกคู่นี้ทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนมาเกิดเหตุน.ส.ชลธิชาถูกฆ่าตาย

แม้นางประทีปจะออกมาขอความเป็นธรรม และพยายามกล่าวหาญาติสนิทว่ามีส่วนพัวพันกับการตายของลูก แต่ตำรวจได้สอบสวนทั้งพยานแวดล้อมต่างๆ และรวบรวมหลักฐานจนนำไปสู่การออกหมายจับ ซึ่งตำรวจไม่ได้ปรักปรำนางประทีปแต่อย่างใด ได้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาตามหลักฐานที่ปรากฏ ซึ่งระหว่างผู้ตายกับแม่นั้นอยู่กันเพียง 2 คนที่บ้านเกิดเหตุ อาวุธไขควงที่ใช้ก่อเหตุก็เป็นของในบ้าน

ที่สำคัญบ้านที่เกิดเหตุนั้นยกสูง หน้าต่างที่มีรอยงัดแงะก็งัดมาจากในบ้าน ข้าวของที่ตั้งอยู่ข้างหน้าต่างก็ไม่ได้ล้มเสียหายแต่อย่างใด หากคนร้ายเข้ามาจากด้านนอกก็น่าจะทำให้สิ่งของล้มหรือพังกระจัดกระจายได้ และหน้าต่างที่มีรอยงัดแงะก็มีความสูงจากพื้นเกือบ 3 เมตร ถ้าคนร้ายมาจากด้านนอกเป็นไปไม่ได้ว่าจะปีนขึ้นไปได้

คดีนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางของชาวบ้าน โดยขณะที่จัดงานศพของน.ส.ชลธิชา แม่ผู้เสียชีวิตนำน้ำมะนาวบีบใส่ศพ โดยระบุว่า “คุณตาได้สั่งไว้ว่าหากเกิดกรณีเช่นนี้ให้บีบน้ำมะนาวใส่ศพ เพื่อให้วิญญาณได้ไปผุดไปเกิด” แต่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นการสะกดวิญญาณ ในขณะที่ผู้เป็นแม่ก็ไม่ได้โศกเศร้าเหมือนคนทั่วไปที่ลูกเสียชีวิต ส่วนเครือญาติพี่น้องก็ไม่ถูกกัน และมีการโยนความผิดใส่กันระหว่างแม่ผู้ตายกับญาติพี่น้อง ในขั้นตอนของกฎหมายนางประทีปยังเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะถึงวันที่ศาลพิพากษา