เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ ฅนข่าว ต้นปราการ ได้โพสต์คลิปพร้อมข้อความ เป็นเหตุการณ์ที่รถฉุกเฉินของโรงพยาบาลสมุทรปราการ ถูกขวางเส้นทางโดยรถนต์คันหนึ่ง จนเป็นเหตุทำให้ผู้ป่วยที่อยู่ในรถเสียชีวิตในเวลาถัดมา
เจ้าของรถเก๋งสีขาวคือ นายสัมฤทธิ์ มณีฤทธิ์ อายุ 38 ปี ได้ขับรถกีดขวางเส้นทางตามถนนสุขุมวิท เมื่อเจ้าหน้าที่เปลีย่นเลน รถเก๋งคันนี้ก็ยังขับมาปาดหน้าปิดทางไม่ให้ไป และมีการจอดรถ กวักมือเรียกให้เจ้าหน้าที่พยาบาลลงมาพูดคุย ซึ่งเจ้าตัวก็พูดจาหยาบคายใส่เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จะยืนยันว่ามีผู้ป่วยจริง ถ้าไม่เชื่อให้ขับรถตามไปดูได้เลย แต่นายสัมฤทธิ์ก็ไม่ยอม
ในคลิปวิดีโออีกมุมจะเผยให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่กำลังช่วยกันปั๊มหัวใจผู้ป่วยในระหว่างที่รอรถโรงพยาบาลมารับ และสุดท้ายผู้ป่วยคนนี้ก็เสียชีวิตระหว่างทาง
นอกจากนี้ นายสัมฤทธิ์ยังได้โทรไปที่ระบบบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัดสมุทรปราการ และร้องเรียนว่ากู้ภัยเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินทั้งที่ไม่มีเหตุฉุกเฉิน ซึ่งหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็ได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเข้าจับกุมนายสัมฤทธิ์ที่บ้าน ซึ่งมีรถคันที่ก่อเหตุอยู่หน้าบ้าน
เมื่อเข้าไป มารดาของนายสัมฤทธิ์ก็พยายามร้องอ้อนวอนไม่ให้เจ้าหน้าที่จับกุมลูกชายไป บอกว่าไม่มีเงินประกันตัว เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจแอลกอฮอล์ของนายสัมฤทธิ์ก็พบว่าเกินที่กฎหมายกำหนดถึง 190 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และถูกแจ้งจับ 2 ข้อหาคือ ขับรถขณะเมาสุรา และ ขับรถกีดขวางเส้นทางรถพยาบาล เข้าข่ายผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 76
ทั้งนั้อาจถูกแจ้งจับในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย หรือกระทำโดยเจตนาเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
นางสาวสุเบญจา บวรพรเกษม พยาบาลวิชาชีพที่อยู่ในรถพยาบาลคันเกิดเหตุเล่าว่า ขณะที่รถพยาบกำกลับจากไปส่งผู้ป่วยรายแรก ศูนย์สั่งการได้วิทยุเรียกแจ้งว่ามีผู้ป่วยฉุกเฉินกำลังทำการปั้มหัวใจช่วยชีวิตอยู่ จึงเดินทางไปยังบ้านผู้ป่วย โดยการเปิดสัญญาณไฟและเสียงฉุกเฉิน เมื่อรถพยาบาลผ่านพ้นแยกโค้งโพธิ์สังเกตเห็นว่ามีรถคู่กรณีพยายามขับตีคู่แข่งกับรถพยาบาล ก่อนจะปาดหน้ากะทันหัน จึงตัดสินใจคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน
นายสัมฤทธิ์ หลังถูกจับกุมตัว ก็ได้ขอโทาและยอมรับผิด พร้อมทั้งอ้างว่า รถพยาบาลจี้ตูดมา ยอมรับว่าเห้นแค่ไฟฉุกเฉินแต่ไม่ได้ยินเสียงหวอ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวนายสัมฤทธิ์เข้าห้องขังเพื่อดำเนินคดีต่อไป
ที่มา : ฅนข่าว ต้นปราการ