เนื่องจากยังให้การปฎิเสธ จึงทำได้เพียงบันทึกปากคำเพิ่มแล้วปล่อยตัวกลับไป ด้านนายทึง ขนันไทย เลขานุการนายกอบต.นาโพธิ์ คนปัจจุบัน กล่าวว่า กรณีเงินหายนั้น ทั้งอดีตนายก อบต.นาโพธิ์ และกำนัน ต.นาโพธิ์คนปัจจุบัน ข้อมูลพื้นฐานของทั้งสองคนที่ผ่านมาเป็นคนทำงานดี และเกี่ยวข้องกับการนำเงินของวัดไปฝากธนาคาร และทำหน้าที่เบิกจ่ายเงินมาโดยตลอด ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเงินล้าน ที่ผ่านมาก็เกี่ยวข้องมาโดยตลอด ไม่เคยมีปัญหา และไม่เคยพบว่าทำอะไรที่ผิดพลาดมาก่อน นายทึง กล่าวต่อว่า สำหรับในส่วนของกำนัน ต.นาโพธิ์นั้น ก็เป็นคนที่ชาวบ้าน ต.นาโพธิ์รัก เพราะเข้ากับชาวบ้านทุกกลุ่มได้เป็นอย่างดี ถือเป็นผู้นำที่ดีคนหนึ่งของชุมชน เคยเป็นผู้ดูแลและถือเงินจำนวนมากๆ มาก่อนเช่นกัน และครั้งนี้ก็ทำหน้าที่ตามปกติ แม้ชาวบ้านอาจจะสับสนเรื่องยอดเงินที่เบิกมาอยู่บ้าง แต่เท่าที่ทราบว่า เป็นผู้ดูแลเงิน ที่รับมอบมา 100,000 บาท
ให้เจ้าอาวาสไปใช้สอยในวัดในด้านค่าใช้จ่ายทุกด้าน ส่วนอีก 900,000 บาท มานำไปแยกตู้ไว้ ตัวละ 400,000 บาทกับ 500,000 บาท แล้วมาหายไป 400,000 บาท เหลือเงินอยู่ 100,000 บาท คือข้อมูลที่ได้ยินมา แม้ข้อมูลที่ได้รับไม่ตรงกัน แต่ก็ยังมีความเชื่อมั่นในตัว กำนัน ต.นาโพธิ์ว่า คือผู้บริสุทธิ์ เชื่อว่าสาเหตุอาจจะเกิดจาก 2 ประเด็น คือ 1.อาจจะลืมเอาเงินเข้าตู้ แต่วางไว้ข้างตู้ ตามที่ชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเป็นเหตุให้เงินหาย และ 2. ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า เอาเงินใส่ตู้แล้วลืมล็อกกุญแจ ตามที่มีการพูดกันก็อาจจะเป็นได้ เลยทำให้เงิน 400,000 บาทหายไป แต่ตนไม่ขอตัดสินว่าใครผิดใครถูก ทุกอย่างรอฟังการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยังเชื่อว่ากำนัน ต.นาโพธิ์คือผู้บริสุทธิ์ ส่วนนายปกรณ์ แสงมุก รองประธานสภาอบต.นาโพธิ์ กล่าวว่า ความจริงแล้วทั้งคู่ ล้วนเป็นคนที่ชาวบ้านยอมรับมาโดยตลอด ทั้งอดีตนายกอบต. ที่เป็นกรรมการวัด และกำนันที่เป็นคนถือกุญแจ เป็นคนที่น่าเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง
และการทำงานร่วมกันกับกำนัน ซึ่งก็เป็นกรรมการรับผิดชอบร่วมกัน โดยคนหนึ่งถือกุญแจ และอีกคนคือกำนันเป็นคนเปิดตู้เซฟ ที่ผ่านมาก็ทำงานด้วยกันด้วยดี ไม่เคยมีปัญหาความขัดแย้ง จนเป็นเหตุให้ต้องบาดหมางกัน ถือได้ว่าทั้งคู่ไม่มีประวัติด่างพร้อย แม้ตนยังไม่ได้คลุกคลีและไม่ทราบในรายละเอียดส่วนนี้ แต่การทำงานของทั้ง 2 คนในฐานะคณะกรรมการวัดที่บริหารจัดการกันเอง ก็ดีมาตลอด แม้ตนจะเพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกอบต. นาโพธิ์ได้เพียง 2 ปี ก็เห็นว่าทำงานดี ในฐานะคนทำงานด้านการบริหารเงินกองกลางของวัด ก็ยังเชื่อใจ และไว้ใจได้ อาจมีการการพูดถึงการบริหารการเงินว่าไม่โปร่งใส ก็เพียงแต่เป็นการพูดกันโดยไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ตนก็ไม่เห็น และเป็นแต่เพียงชาวบ้านพูดกัน แบบหาความชัดเจนไม่ได้ แต่โดยภาพรวมถือว่าน่าเชื่อถือตลอดมา
ด้าน พระครูขันติโพธิคุณ เจ้าคณะตำบลนาโพธิ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ ผู้ดูแล เงินของวัด กล่าวว่า ตอนนี้มีส่วนในด้านการร่วมเซ็นเบิกเงินของวัดจริงในวันที่ 8 ก.พ. 67 โดยได้รับการติดต่อมาจากกำนันบอกว่าให้มีส่วนร่วมในการเซ็นเบิกเงิน ไปให้ช่างก่อสร้างวิหาร โดยกรรมการ 5 คน คือเป็นพระสงฆ์ 2 รูป และกรรมการที่เป็นฆราวาส 3 คน ร่วมกันไปเบิกกันอยู่ธนาคาร ซึ่งทีแรกบอกว่าจะเบิกค่าช่าง ก่อสร้าง แต่พอไปถึงธนาคาร กำนันเป็นคนขอให้เบิก เพิ่มขึ้นจาก 1.2 ล้านบาท เพื่อที่จะนำทุนที่เกินไปใช้ในงานจัดงานบุญประจำปีของวัดโชคชัยโนนขวาง ในวันที่ 19 พ.ค. ซึ่งก็มีการปรึกษากับเจ้าอาวาสวัด ก็เห็นชอบยอมให้เบิก 1.2 ล้านบาทตามต้องการ เพื่อเอาส่วนหนึ่งไว้เตรียมจ้าง มหรสพ และจัดงาน 200,000 บาท จากนั้นเงินส่วนที่เหลือ 1 ล้านบาท ก็มีมติให้ มอบให้เจ้าอาวาสเป็นคนเก็บไว้ 100,000 บาท แล้วส่วนที่เหลือ 900,000 บาทมอบให้กำนันคนเก็บ
ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าไปเก็บไว้ที่ไหน และก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เพราะอยู่คนละวัด แล้ว ต่อมาก็ได้ยินว่า แยกออกเป็น 2 ก้อน ใส่ใน 2 ตู้เซฟ คือตู้ที่ 1 จำนวน 500,000 บาทตู้ที่ 2 จำนวน 400,000 บาท ตามที่ตนเองได้ยินมา แล้วก็ยืนยันว่า เงินดังกล่าวมีจริง ไม่ได้จำผิด เพราะตนเองมีส่วนร่วม และเป็นหนึ่งในกรรมการที่ไปเบิกเงิน ยืนยันว่าไม่มีความผิดพลาดอย่างแน่นอน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ยืนยันได้ก็คือ มีหลักฐานการเบิกเงินอยู่ที่คณะกรรมการหรือที่เจ้าอาวาสวัด เป็นสิ่งยืนยันได้ถึงยอดเงินที่เบิกมาจากธนาคาร เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 67
ซึ่งมีหลักฐานที่สามารถตรวจสอบยืนยันได้ เพราะตอนอยู่ธนาคาร กรรมการทุกคนเห็นเงิน ก้อนดังกล่าวจริง แต่ส่วนหลังจากนำมาถึงวัดแล้ว ไม่ทราบ เพราะเมื่อเบิกแล้วก็หมดหน้าที่ และเงินก็อยู่ในความดูแลของคณะกรรมการที่อยู่ในวัดแล้ว โดยที่ตนไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องอีก ซึ่งหลักฐานการเบิกจ่ายเงินนี้มีเอกสาร ที่อยู่กับเจ้าอาวาสวัด สามารถยืนยันได้ ส่วนการจ่ายการไปหายไปของเงิน ตนเองไม่ได้มีส่วนร่วมรับทราบ ใดๆทั้งสิ้น ส่วนการหายไปของเงินหากจะอ้างว่า มีการงัดแงะตู้เซฟเพื่อเอาเงินเช่นในอดีต ที่เคยโดนวัยรุ่นขี้ยางัดแงะ ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นตู้เซฟที่ไม่สามารถจะงัดแงะได้ เป็นตู้เซฟที่ซื้อใหม่ มาไม่ถึง 2 ปี หลังจากเงินหายก็สอบถาม แล้วมีการยืนยันว่าไม่ มีการ เกิดร่องรอยการงัดแต่อย่างใด และเหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมด ยืนยันว่าตนเองไม่มีส่วนร่วมรู้เห็น เพราะหลังจากไปร่วมเซ็นเบิกเงินแล้ว กรรมการวัดก็มาส่งตรงที่วัด โดยไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องอีก รวมทั้งการใช้จ่ายเงินต่างๆ ตอนนี้ก็ไม่ทราบเลยว่าใช้จ่ายในด้านการเบิกจ่ายและการใช้สอย ในระบบอย่างไร ทั้งสิ้น
ทั้งนี้แหล่งข่าวรายหนึ่ง กล่าวว่า สำหรับการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตอนนี้เรียกสอบผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้อง และพาดพิงถึงไปแล้วเกือบ 10 ปาก และได้รายละเอียดคืบหน้าไปพอสมควร โดยทุกคนล้วนมีส่วนน่าสงสัยที่จะเป็นไปได้ ซึ่งส่วนหนึ่งรอผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานลายนิ้วมือแฝง จากการเก็บส่งตรวจของชุดพิสูจน์หลักฐาน และผลการตรวจ DNA จากจุดเกิดเหตุ ควบคู่กับการสอบสวนเชิงลึกทุกด้าน มีความคืบหน้าไปมากแล้ว และกำชับการตรวจสำนวนการสอบสวน หากยังไม่ชัดเจน และมีการตกหล่น ก็จะมีการเรียกสอบเพิ่มเติมเป็นคนๆ ไป ซึ่งทุกอย่างถือว่าเป็นของสำนวนการสอบสวน ที่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายต่อรูปคดีได้ และหลังจากที่มีการเรียกสอบเพิ่มผู้ต้องสงสัยเพิ่ม1 รายเมือคืนที่ผ่านมา ซึ่งคือ
ลูกสาวของหลวงตารูปหนึ่ง ที่เป็นผู้ต้องสงสัย เพราะเป็น 1 บุคคลที่ไปนอนเฝ้าหลวงตาในช่วงที่ป่วย และนอนเฝ้าในกุฏิที่เก็บตู้เซฟทั้ง 2 ใบ แล้วเงินหายไป และเป็น 1 ในผู้ร่วมกันน้ำสาบานในวันนั้นด้วย มาพบพนักงานสอบสวน เพื่อสอบสวนตรวจสอบเส้นทางการเงินและให้ปากคำ โดยมี ผกก.สภ.เมืองร้อยเอ็ด ลงมาตรวจสอบดูแลการสอบสวน ติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดนั้ อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวได้ย้อนกลับดูภาพที่บันทึกไว้เมื่อตอนดื่มน้ำสาบาน ก็พบว่า ลูกสาวหลวงตาดังกล่าว ได้ร่วมกินน้ำสาบานด้วย และฟังจากถ้อยคำที่บันทึกไว้อีกรอบ พบว่า เจ้าตัวกล่าวเพียงแต่ว่า หากตนเองไม่ได้นำเงินที่หายไปจากตู้เซฟไป ขอให้ตนเองเจริญรุ่งเรือง และมั่งมีกว่าเงินที่หายไป โดยที่ไม่ได้กล่าวคำสาบานในส่วนที่หากมีการนำเงินไป ขอให้มีอันเป็นไปต่างๆ นานา ตามที่อดีตนายก และกำนัน หรือคนอื่นพูดกัน