ความยุติธรรมยังมีอยู่จริง สั่งจำคุก เจ๊นุช ทำร้ายอดีตทหารหญิงรับใช้ ลั่นทั้งน้ำตา ไม่คิดชีวิตจะพบแสงสว่าง

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ความคืบหน้าจากคดีที่ เจ๊นุช หรือ ส.ต.ท.หญิงกรศศิร์ (ขอสงวนนามสกุล) ผบ.หมู่ กก.4 บก.ส.1 ร่วมกับเพื่อนชายคนสนิท ทำร้ายร่างกาย น.ส.เอ (นามสมมติ) ทหารหญิง ซึ่งเป็นทหารรับใช้นานกว่า 2 ปี จนครอบครัวทนไม่ไหว ร้องทุกข์กับ กัน จอมพลัง และนำมาสู่ความช่วยเหลือ

จนในที่สุดเจ๊นุชกับเพื่อนชายคนสนิทถูกจับในข้อหา 7 ข้อหา คือ 1.ค้ามนุษย์ 2.พ.ร.บ.แรงงาน 3.พ.ร.บ.พกพาอาวุธปืน 4.ความผิดต่อเสรีภาพ 5.ความผิดต่อร่างกาย 6.บังคับใช้แรงงาน และ 7.ร่วมกันทำร้ายร่างกายทั้งสาหัสและไม่สาหัส โดยอัยการได้สั่งฟ้องไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2565 นั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม กัน จอมพลัง ได้พา น.ส.เอ ทหารหญิงรับใช้ พร้อมทนายโรส และญาติของน.ส.เอ มาฟังคำพิพากษาที่ศาลจังหวัดราชบุรี ซึ่งใช้เวลาในการฟังคำพิพากษานานกว่า 2 ชั่วโมง ก่อนที่ กัน จอมพลัง พร้อมทนายโรส และ น.ส.เอ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ ว่า หลังจากที่รอคอยมานานเกือบ 2 ปี วันนี้ศาลพิพากษามาแล้วให้จำเลยที่ 1 คือ เจ๊นุช จำคุก 13 ปี 5 เดือน ส่วนเพื่อนชายคนสนิท จำคุก 4 ปี 1 เดือน หลังจากนี้ทางทนายโรสจะประสานกับอัยการจะให้ศาลได้พิจารณาโทษ

ซึ่งศาลท่านก็คงมีดุลยพินิจของท่าน แต่ทางผู้เสียหายกับครอบครัวก็คงจะใช้สิทธิของเขาต่อในเรื่องของโทษ เนื่องจากสิ่งที่ผู้เสียหายนั้นโดนมาเยอะและจดจำไปตลอดชีวิต แต่ก็จะใช้สิทธิ์ที่มีอยู่เพื่อดำเนินการเรียกร้องขอความเป็นธรรมต่อไป ส่วนเรื่องของจมูกที่หักและหายใจได้ข้างเดียวนั้น ก็ได้รับการดูแลจาก คุณเซปิง และ คุณหนุ่ม กรรชัย จนสามารถทำให้จมูกกลับมาหายใจได้ปกติ

ด้าน ทนายโรส กล่าวว่า ส่วนคำพิพากษาจะเป็นไปที่ กัน จอมพลัง บอก แต่ในส่วนการชดใช้นั้น ศาลสั่งให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เป็นจำนวนเงิน 365,620 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ศาลสั่งให้ชดใช้ร่วมกับจำเลยที่ 1 เป็นจำนวนเงิน 350,616 บาท ส่วนที่ว่าจะเพียงพอกับสิ่งที่ผู้เสียหายโดนมาหรือรักษาตัวไปนั้นก็ขอให้ทุกท่านคิดเอาเอง

ทนายโรส กล่าวต่อว่า ซึ่งทางผู้เสียหายก็จะมีการอุทธรณ์ตามสิทธิที่เรามี ส่วนข้อหาที่ถูกพิพากษาในวันนี้ คือ จำเลยที่ 1 และ 2 ร่วมกันทำร้ายร่างกายให้ได้รับอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ ร่วมกันทำร้ายร่างกายให้ได้รับอันตรายสาหัส ส่วนจำเลยที่ 1 เจ๊นุช จะมีข้อหาเพิ่มคือ กรรโชกทรัพย์ และข่มขืนใจ ส่วนจำเลยที่ 2 นั้นมีข้อหาเพิ่มคือพกพาอาวุธ และไม่จ่ายค่าจ้างตามกฎหมาย ส่วนข้อหาค้ามนุษย์นั้นไม่เข้าข่ายความผิด แต่ก็ต้องอุทธรณ์

ขณะที่ น.ส.เอ กล่าวว่า ตอนแรกก็รู้สึกกังวลว่าคำพิพากษาจะออกมายังไง แต่เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว ก็คงจะต้องสู้ต่อไป ที่ผ่านมาโดนมาเยอะมากจนไม่สามารถที่จะให้ใครได้ทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งภาพความทรงจำทุกอย่างยังอยู่ ตาเราเลือกที่จะไม่จำมันและเอามาทำร้ายจิตใจ ส่วนเรื่องบาดแผลและร่างกายก็จะอยู่กับเราตลอด ส่วนเรื่องคดีความก็จะเดินหน้าสู้ต่อไป แต่ในความรู้สึกนั้นก็อโหสิกรรมให้ในส่วนของกรรม แต่ในเรื่องของคดีความก็ต้องสู้กันต่อไป และจะทำให้ดูเป็นตัวอย่างว่ามนุษย์คนหนึ่งไม่สมควรที่จะโดนอะไรแบบนี้

น.ส.เอ กล่าวอีกว่า หลังจากที่ได้ทำการรักษาจมูกให้กลับมาหายใจได้ทั้งสองข้างเหมือนคนปกติทั่วไป จากที่เคยหายใจได้ข้างเดียว ส่วนชีวิตประจำวันตอนนี้ก็ทำกล้วยฉาบขาย เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงคุ้มครองพยานของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมาถึงวันนี้ก็อยากขอบคุณผู้สื่อข่าวที่ช่วยนำเสนอข่าวและขอบคุณคุณกัน ที่ช่วยเหลือทุกอย่าง (พร้อมกับนำพวงมาลัยมาก้มกราบกัน)

ไม่อยากให้ใครที่เป็นมนุษย์ได้พบกับเหตุการณ์แบบนี้อีก จากที่เคยอยู่ในความมืดก็ไม่คิดว่าชีวิตจะมาพบกับแสงสว่าง จนทำให้มาพบกับคุณกัน จนทำให้รู้สึกว่าความเป็นมนุษย์นั้นมีคุณค่ามากกว่าที่เราจะหายไปจากโลกใบนี้