ร้านแว่นตาที่คนไทยคุ้นเคยกันดีสุด ๆ เพราะเจออยู่แทบทุกที่ทุกมุมถนน คงจะหนีไม่พ้น แว่นท็อปเจริญ ร้านแว่นตาห้างดังที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน แต่หลายคนที่ผ่านไปร้านแว่นท็อปเจริญเมื่อมองเข้าไปในร้าน อาจจะเห็นพนักงานนั่งเฉย ๆ บ้าง จัดของบ้าง แทบไม่เห็นลูกค้าที่เข้าในร้านเลย จนกลายคนก็เกิดความข้อสงสัยว่า ร้านแว่นท็อปเจริญอยู่ได้ยังไง เอากำไรจากไหน ทั้งที่ไม่ค่อยเห็นลูกค้าเข้าร้าน แต่กลับอยู่ได้มานานและเปิดสาขาเป็นว่าเล่น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เว็บไซต์พันทิปดอทคอม ได้กลับมาเป็นกระทู้ฮอตฮิตอีกครั้ง กับคำถามที่ว่า แว่นท็อปเจริญ ทำไมมีสาขามากมายขนาดนี้ ? ทั้ง ๆ ที่คนก็ไม่ค่อยจะเข้าร้านเท่าไหร่ พร้อมกับที่มีคนเผยให้เห็นถึงต้นทุนโดยคร่าว ๆ ของร้านแว่นท็อปเจริญมาเช่าพื้นที่ขายหน้าหาดดังภูเก็ต ดังนี้
ค่าเช่าร้าน 3 ชั้น 2 คูหา 130,000 บาทต่อเดือน
– ค่าไฟประมาณ 5,000 บาทต่อเดือน
– พนักงานสาว 5 คน ช่างแว่น 1 คน ประมาณ 150,000 ต่อเดือน
– ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ 15,000 บาทต่อเดือน
นั่นหมายความว่า แต่ละเดือนค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 300,000 บาท แต่ร้านขายแว่นได้เกิน 300,000 บาท จริงหรือ
ซึ่งหลังจากที่ได้มีการตั้งกระทู้แล้ว ก็ได้มีสมาชิกหลายคนเข้ามาให้ความคิดเห็น เกี่ยวกับการที่แว่นท็อปเจริญยังอยู่ได้ ในสภาวะที่คนอาจจะไม่เห็นว่ามีลูกค้าเข้าร้านสักเท่าไหร่ กล่าวคือ
– ต้นทุนราคากรอบแว่นที่ได้มาค่อนข้างต่ำ แต่เมื่อมาขายจริงจะตั้งราคาให้สูงแล้วบอกลดราคา โดยมีการให้คอมมิชชั่นพนักงานเป็นแรงจูงใจให้พนักงานเชียร์ขายกรอบแว่นแบรนด์ที่ต้องการ และรวมไปถึงเลนส์
– แว่นท็อปเจริญควบคุมต้นทุนของตัวเอง โดยการผลิตเลนส์และคอนแทคเลนส์เอง จึงสามารถตั้งราคาและทำกำไรได้เอง
– แว่นท็อปเจริญเป็นแบรนด์ดัง คนนึกถึงเป็นอันดับแรก ๆ และมีสาขามาก และปัจจุบันคนก็หันมาใส่แว่นกันมากขึ้นเพราะสายตาสั้น ไม่รวมที่บางคนซื้อแว่นกันแดดใส่อีก
ในขณะเดียวกัน TikTok @man_khunman และ ลงทุนแมน ก็เคยพูดถึงวิธีการทำกำไรของแว่นท็อปเจริญ ไว้อย่างน่าสนใจ พอสรุปคร่าว ๆ ได้ดังนี้
– แว่นท็อปเจริญสามารถควบคุมต้นทุนแว่นได้น้อยมาก ถ้าราคาแว่น 100 บาท ต้นทุนแว่นแค่ 24 บาทเท่านั้น เมื่อเวลาที่เราเข้าแว่นท็อปเจริญ เราจึงได้เห็นพนักงานลดราคาแว่นได้อย่างน่าตกใจ บางทีทางร้านก็จัดโปรโมชั่นลด 70% หรือซื้อ 1 แถม 1 บ่อยครั้ง
– สิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ คือ เมื่อหักต้นทุนทั้งสิ่งของและคนแล้ว แว่นท็อปเจริญยังเหลือกำไรมากถึง 4% แทบจะเท่ากับกำไรของเซเว่นอีเลฟเว่น แม้ว่าจะขายต่อวันได้ไม่มากเท่า แต่งานน้อยกว่า ใช้คนน้อยกว่า ต้นทุนต่ำกว่าเยอะ
– ต้นทุนที่แพงที่สุดของแว่นท็อปเจริญคือ ค่าดำเนินการ เช่น ค่าเช่าตึก ค่าพนักงาน ที่คิดเป็นอัตราถึง 72% แต่ที่แว่นท็อปเจริญยังสามารถไปต่อได้ เพราะห้างแว่นท็อปเจริญไม่มีการเปิดแฟรนไชส์ ต้นทุนจากทุกสาขาจึงสามารถนำมาหารเฉลี่ยกันและสามารถเอาเงินจากสาขาใหญ่ไปช่วยสาขาเล็กได้
– ร้านแว่นท็อปเจริญเน้นเปิดสาขามาก ต่อให้ขายได้แค่สาขาละ 1 อันต่อ 1 วัน แต่กำไรสุทธิเมื่อมาหารเฉลี่ยกันทุกสาขาแล้วยังเยอะมาก โดยมีการคาดการณ์ถึงกำไรสุทธิถึง 13,712,400 บาทต่อเดือน
– พื้นที่ในจุดที่จะขายของแว่นท็อปเจริญ ต้องอยู่ในแหล่งชุมชน คนเข้าถึงได้ง่าย และใช้วิธีการเช่าตึก ไม่ใช่การซื้อตึก ซึ่งหากสาขาไหนขายไม่ดี ก็เพียงแค่คืนตึกไปเปิดสาขาอื่นที่ใหม่ โมเดลเดียวกันกับเซเว่นอีเลฟเว่น