สำหรับสถานการณ์โควิดในไทยมีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น หลังผ่านเทศกาลสงกรานต์ จากข้อมูลกระทรวงสาธารณสุขรายงานว่าช่วงวันที่ 15-21 เม.ย. 2567 ที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อรายใหม่รักษาตัวในโรงพยาบาลสูงถึง 1,004 ราย ถือเป็นตัวเลขที่สูงมาก จากการระบาดของโควิด สายพันธุ์ย่อยโอมิครอน JN.1 มีความสามารถในการแพร่เชื้อได้อย่างรวดเร็ว แม้อาการไม่รุนแรง แต่การแพร่กระจายได้ง่าย ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นในระลอกนี้ และการล้างมือ กินร้อน ช้อนกลาง เว้นระยะห่างทางสังคม และสวมหน้ากากอนามัย เป็นวิธีป้องกันตัวเองที่ดีที่สุด
ล่าสุดศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ออกมาเตือนให้ระวังโควิด สายพันธุ์ย่อยโอมิครอน KP.3 ตัวใหม่จะมาแทนที่สายพันธุ์ย่อยโอมิครอน JN.1 ในอนาคตอันใกล้ จากการสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสโควิด จากนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกและแชร์ขึ้นไว้บนฐานข้อมูลโควิดโลก จีเสส (GISAID) พบโอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ KP.3 ทั่วโลก จำนวน 295 ราย และในไทย 2 ราย จาก จ.พระนครศรีอยุธยา
โอมิครอน KP.3 ตัวใหม่นี้ สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีทีเดียว ไม่ว่ามีการฉีควัคซีนโควิดไปแล้ว หรือคนที่เคยติดเชื้อโอมิครอน JN.1 ก็ไม่สามารถป้องกันโอมิครอน KP.3 ได้เลย จากการนำแอนติบอดีของคนติดเชื้อ JN.1 มาทดสอบ ก็ปรากฏว่าไม่สามารถยับยั้งเจ้าตัวนี้ได้ดีพอ ก็เลยเป็นข้อมูลในการเร่งพัฒนาวัคซีนตัวใหม่ ให้สอดรับกับไวรัสที่กลายพันธุ์ อาจต้องพัฒนาวัคซีนทุกๆ 6 เดือน
โดยโอมิครอน KP.3 ยังไม่มีข้อมูลชัดเจน และไม่มีการกลายพันธุ์ที่ไม่เคยพบมาก่อน จึงอยากให้ระมัดระวังในการป้องกันตัวเองและหวังว่าจะไม่รุนแรง หากรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต ก็จะตีวงในการควบคุมไม่ให้แพร่ระบาด โดยกรณีผู้ติดเชื้อ 2 รายใน จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นแค่การสุ่มตรวจเท่านั้น คาดว่าตัวเลขที่แท้จริงของผู้ติดเชื้อโอมิครอน KP.3 ในไทย อาจมากกว่า 5 เท่า หรือ 10 เท่า อาจเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดแทนโอมิครอน JN.1 และหากไม่จำเป็นไม่ควรเข้ามาในโรงพยาบาล โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง