มนุษย์เราผายลมเป็นปกติ แต่รู้หรือไม่ว่า… การผายลมที่ผิดปกตินั้น อาจเป็นสัญญาณเตือนสุขภาพได้
ดร.จง ยุนหนี่ ศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนักชาวไต้หวัน กล่าวว่า ความถี่ในการผายลมของแต่ละคนมีตั้งแต่ 5-25 ครั้งต่อวัน โดยเฉลี่ยประมาณ 15 ครั้งต่อวัน การผายลมเป็นสัญญาณว่าลำไส้ทำงานได้ดี ดังนั้น สำหรับศัลยแพทย์ระบบทางเดินอาหาร สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ “การไม่ผายลม”
แต่ในขณะเดียวกัน หากผายลมมากกว่า 25 ครั้งต่อวัน อาจเป็นไปได้ว่าการบีบตัวของลำไส้เร็วเกินไป หรือผลิตก๊าซได้ง่ายเกินไป
คุณหมอบอกด้วยว่า นอกจากความถี่ในการผายลมแล้ว สิ่งที่ทุกคนกังวลมากที่สุดคือกลิ่น ดังนั้น จึงขอใช้ “ทฤษฎีถุงขยะ” มาอธิบาย เหมือนเวลากดถุงขยะ กลิ่นจะฟุ้งกระจาย และสิ่งที่อยู่ในถุงจะกำหนดว่ากลิ่นจะเหม็นแค่ไหน
“ลำไส้ของเราก็เปรียบเสมือนถุงขยะ ถ้ามีเนื้อและน้ำมันมากอยู่ในนั้น และปล่อยทิ้งไว้นานๆ เช่น ถ้าใครท้องผูกมาหลายวันกลิ่นผายลมจะเหม็นมาก แต่ถ้ากินกากใยมาก ลำไส้จะเคลื่อนตัวได้คล่อง ถ้าขับถ่ายออกบ่อยๆ ก็ไม่เหม็นมาก”
กลิ่นไหนเป็นสัญญาณเตือนอันตราย?
ดร.จง ยุนหนี่ ชี้ให้เห็นว่าสำหรับแพทย์ การได้กลิ่นคาวจะน่าตกใจมาก แต่คนทั่วไปอาจแยกแยะกลิ่นต่างๆ ไม่ออก ดังนั้นอย่าคาดเดาแบบไร้เหตุผล และอย่าตื่นตระหนก แต่ควรใส่ใจกับการพัฒนานิสัยที่ดีต่อสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญมากกว่า
โดยอธิบายว่าผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี ไม่อยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เมื่อผายลมมีกลิ่นเหม็นมากส่วนใหญ่เกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง และการเปลี่ยนแปลงของแบคทีเรียในลำไส้ เพียงรับประทานไฟเบอร์มากขึ้นจะทำให้อาการดีขึ้น
ในขณะเดียวกัน เตือนว่าหากมีอายุอยู่หลังวัยกลางคน ซึ่งมักจะไม่ผายลมมาก และกินอาหารตามปกติ แต่นิสัยการขับถ่ายเปลี่ยนไปกะทันหัน และมักจะมีอาการท้องผูกหรือท้องเสีย รวมถึงอุจจาระเป็นเลือดโดยที่ไม่เจ็บปวด สัญญาณเตือนเหล่านี้จะถูกรวมเข้าด้วยกัน และอาจเป็นความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้
คุณหมอเน้นย้ำว่า “ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย ไม่ว่าผายลมมีกลิ่นไม่ดี หรืออุจจาระมีกลิ่นเหม็นหรือไม่ มีเลือดอยู่ในอุจจาระหรือไม่ เป็นเพียงการอ้างอิงทางอ้อมในการวินิจฉัยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ยังคงแนะนำด้วยถ้อยคำที่ได้ยินบ่อยๆคือควรรับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ”