10 สถานที่ในโลกที่คุณจะไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง

เราจะพาทุกคนไปพบกับ 10 สถานที่ที่ทุกคนคงไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง ซึ่งจะมีที่ไหนบ้าง ไปชมกันเลยย

อันดับที่ 1 ทะเลสาบลายจุด

หากคุณกำลังมองหาหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสุดมหัศจรรย์ที่ต้องไม่พลาดไปเยือน ดูเหมือนว่าทะเลสาบสปอท หรือ สปอท เลค (Spotted Lake) ก็ควรเป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองโอโซยูซ (Osoyoos) รัฐบริติชโคลัมเบีย ของประเทศแคนาดา โดยนักท่อเงที่ยวสามารถเข้าถึงทะเลสาบได้โดยการใช้ทางหลวงหมายเลข 3 ทะเลสาบสปอท หรือ ทะเลสาบลายจุด เป็นที่รู้จักกันในนาม Klikuk โดยน้ำในทะเลสาบนั้นเต็มไปด้วยแร่ธาตุที่สะสมอยู่อย่างหนาแน่น ไม่ว่าจะเป็นแมกนีเซียมซัลเฟต โซเดียมซัลเฟต แคลเซียม และแร่ธาตุอื่นๆ อีกหลายชนิด ปัจจุบันทะเลสาบอยู่ในความครอบครองของเอกชนรายหนึ่ง ทะเลสาบสปอทนั้นถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวพื้นเมืองในหุบเขาโอคานาแกน และยังมีความเชื่อว่าโคลนแและน้ำจากทะเลสาบสามารถช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยได้ และในทุกๆช่วงฤดูร้อนน้ำในทะเลสาบจะระเหยไปจนหมด พร้อมกับเผยให้เห็นสีสันที่สวยงามของทะเลสาบเป็นอย่างมาก

อันดับที่ 2 หาดสีแดง

สีฉูดฉาดของหาดสีแดงนี้เกิดจากปรากฏการณ์สาหร่ายเติบโตในดินเค็ม โดยในช่วงฤดูร้อน (เมษายน-พฤษภาคม) สาหร่ายยังเป็นสีเขียวปกติ จนกระทั่งถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วงสาหร่ายจะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีแดง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 100 ตารางกิโลเมตร ส่งผลให้ทั้งชายหาดถูกปกคลุมไปด้วยพรมแดงธรรมชาติ เกิดเป็นทัศนียภาพหาดสีแดงสะดุดตา หาดสีแดงแห่งเมืองผานจิ่น ถือเป็นแหล่งธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นที่อยู่อาศัยของนกนานาชนิด เช่น นกป่า นกกระเรียน และนกนางนวล ปัจจุบันหาดสีแดงถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจีน ซึ่งได้รับความสนใจจากทั่วโลก

อันดับที่ 3 ภูเขาช็อกโกแลต

หนึ่งสถานที่แปลกตา เกิดจากการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ แถมมีชื่อคล้องกันกับขนมหวานอีก นามว่า ช็อคโกแลตฮิลส์ (The Chocolate Hills) ช็อคโกแลตฮิลส์ (The Chocolate Hills) ตั้งอยู่บนเกาะโบฮอล ทางตอนใต้ของกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เกาะนี้ได้ชื่อว่าเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในฟิลิปปินส์ มีความงดงามตามธรรมชาติที่สมบูรณ์ ริมทะเลถูกประดับไปด้วยหาดทรายสีขาว มีสมบัติใต้ทะเลเป็นความงดงามที่นักดำน้ำพึงถวิล แต่สถานที่ที่ทำให้โบฮอลมีเอกลักษณ์โดดเด่นต่างจากที่อื่นก็คือ ดินแดนแห่งนี้ นั่นเอง ส่วนที่มาที่ทำให้เกิดเนินเขาใหญ่เล็กขึ้นจำนวนมากนี้ คาดกันว่า ในอดีตชาติหลายล้านปีก่อนบริเวณนี้เป็นท้องทะเล และนี่คือแนวปะการังอันแสนจะสมบูรณ์ ต่อมาเวลาเปลี่ยนน้ำทะเลเกิดเหือดแห้ง หลังจากนั้นก็เกิดการทับถมของหินปูนนานวันเข้ากลายเป็นเนินเขาเหล่านี้

อันดับที่ 4 ปามุกคาเล

สระไร้ขอบธรรมชาติ ปามุกคาเล (Pamukkale) สุดมหัศจรรย์ มีธารน้ำแร่ใต้ดินไหลรวมเป็นแอ่งน้ำหินปูน ซึ่งที่นี่มีชื่อเสียงมากเกี่ยวกับธรรมชาติ ควาสวยงาม ปามุกคาเล เป็นภาษาตุรกี หมายถึง ปราสาทปุยฝ้าย ตั้งชื่อตามลักษณะภูมิศาสตร์ ซึ่งเกิดจากปรากฏการณ์ที่ตะกอนของหินปูนทำปฏิกิริยากับอากาศ จับตัวแข็งกลายเป็นแอ่ง และมีธารน้ำแร่ใต้ดินไหลเอ่อล้นผุดขึ้นมาบนพื้นผิว รวมเป็นแอ่งน้ำหินปูนที่ลดหลั่นกัน กว้าง 300 เมตร ยาวกว่า 3 กิโลเมตร ก่อนไหลลงจากผาสูง 100 เมตร จากระดับน้ำทะเล ช่วงฤดูใบไม้ผลิ น่าจะเป็นช่วงที่เหมาะที่สุดที่จะเยือน ปามุกคาเล เพราะน้ำจะขึ้นล้นแอ่ง ส่วนฤดูร้อนนั้นอย่าหวัง และเนื่องจากไม่มีการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว จึงส่งผลให้ ปามุกคาเล อาจไม่สวยงามเหมือนเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ด้วยเหตุนี้รัฐบาลตุรกีและองค์กรยูเนสโกจึงจัดการดูแล มรดกโลก แห่งนี้ ด้วยการจัดระเบียบการท่องเที่ยว โดยสั่งปิดถนนเส้นที่ใกล้กับ แอ่งน้ำ ปามุกคาเล และห้ามรถบัสใหญ่จอดในบริเวณสถานที่ท่องเที่ยว การเข้าชม ปราสาทปุยฝ้าย จึงต้องใช้วิธีเดินเท้าเข้าไปตามเส้นทางที่กำหนด ประมาณ 1.5 กิโลเมตร

อันดับที่ 5 ทะเลสาบฮิลเลียร์

เป็นทะเลสาบน้ำเค็ม ตั้งอยู่บนเกาะมิดเดิล (Middle Island) ซึ่งเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเกาะและเกาะเล็กๆ ที่รวมกันเป็นหมู่เกาะรีเชิร์ช (Recherche Archipelago) ในแถบโกลด์ฟิลส์-เอสเปอแรนซ์ (Goldfields-Esperance) นอกชายฝั่งทางตอนใต้ของออสเตรเลียตะวันตก มีลักษณะเด่นคือมีสีชมพู มีชายฝั่งยาวและแคบคั่นมหาสมุทรใต้กับทะเลสาบ ทะเลสาบฮิลเลียร์มีความยาวประมาณ 600 เมตร (2,000 ฟุต) และกว้างประมาณ 250 เมตร (820 ฟุต) ทะเลสาบล้อมรอบไปด้วยหาดทรายและป่าเปเปอร์บาร์ก (Paperbark) และยูคาลิปตัส (Eucalyptus) อย่างแน่นหนา มีแนวเนินทรายปกคลุมด้วยพืชพรรณที่แยกชายแดนตอนเหนือออกจากชายฝั่งตอนเหนือของเกาะมิดเดิล ลักษณะที่เด่นที่สุดของทะเลสาบแห่งนี้คือมีสีชมพู เป็นสีที่คงอยู่ถาวร และไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อนำน้ำทะเลสาบใส่ในภาชนะ ที่มาของสีชมพูนี้กล่าวกันว่ามาจากสิ่งมีชีวิต Dunaliella salina การเดินทางให้เห็นทิวทัศน์ของทะเลสาบที่ดีที่สุดคือทางอากาศ

อันดับที่ 6 น้ำพุร้อนไกเซอร์

ว่ากันว่าน้ำพุร้อนไกเซอร์ เป็นน้ำพุร้อนที่ปล่อยกระแสน้ำร่วมกับไอน้ำออกมาเป็นระยะๆ ไม่สม่ำเสมอ ซึ่งการเกิดของไกเซอร์ขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะทางอุธกธรณีวิทยา ซึ่งสามารถพบได้เพียงไม่กี่แห่งในโลก จึงจัดได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมมชาติที่หาดูได้ยากชนิดหนึ่ง ไกเซอร์มักจะตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณภูเขาไฟที่ยังสามารถระเบิดได้อยู่และได้รับผลจากแม็กมาในบริเวณใกล้เคียงอีกด้วย โดยทั่วไปแล้วที่ความลึกประมาณ 2.2 กิโลเมตร (6,600 ฟุต) และจะเป็นบริเวณที่ผิวน้ำพบกับหินร้อน และด้วยเหตุนี้เองทำให้น้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้น ภายใต้ความดันใต้พื้นผิวโลกจนทำให้เกิดปรากฏการณ์ไกเซอร์ที่ปลดปล่อยกระแสน้ำรุนแรง ร่วมกับไอน้ำออกมาได

อันดับที่ 7 ถ้ำไวโตโมโกลว์วอร์ม

ถ้ำเรืองแสงสุดแปลกประหลาดนี้ มีชื่อว่า ถ้ำไวโทโม (Waitomo Caves) ซึ่งเป็นภาษาพื้นเมืองที่ได้จากการรวมคำสองคำ คือคำว่า “Wai” แปลว่า “น้ำ” และคำว่า “Tomo” แปลว่า “หลุม บ่อ หรือ ถ้ำ” เมื่อนำมารวมกันจึงมีความหมายว่า ถ้ำที่มีน้ำไหลผ่าน บริเวณทางตอนใต้ของเมือง Waikato ค้นพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1887 โดย Fred Mace ชาวอังกฤษ ภายใต้การนำทางของหัวหน้าชาวเผ่าเมารีพื้นเมือง หลังจากที่มีการค้นพบในครั้งแรกก็มีการบอกต่อกันถึงความงดงามภายในถ้ำ ที่มีความสวยงามราวกับดวงดาวในท้องฟ้ายามค่ำคืน จนชื่อเสียงของถ้ำไวโทโมแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง ทำให้ในปัจจุบันมีผู้คนหลั่งไหลมาเยือนอย่างมากมาย ถึงปีละ 4 แสนคนเลยทีเดียว

อันดับที่ 8 หลุมน้ำเงิน

หลุมที่ว่าเรียกกันทั่วไปว่า หลุมน้ำเงิน (Great Blue Hole) อันเป็นสีที่ชัดเจนและโดดเด่น จนไม่ว่าจะมองยังงัยก็ต้องรู้เลยว่าเป็นหลุม หลุมนี้อยู่ห่างจากชายฝั่งเบลีซประมาณ 70 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นทรงกลมเกือบสมบูรณ์ เส้นผ่าศูนย์กลาง 300 เมตร กับความลึกประมาณ 124 เมตร เชื่อกันว่าหลุมนี้เป็นหลุมกลางทะเลที่มีขนาดใหญ่ที่สุด สันนิษฐานกันว่ามันก่อตัวขึ้นในยุคน้ำแข็ง ซึ่งระดับน้ำทะเลในขณะนั้นอยู่ที่ประมาณ 100-120 ม. (330-390 ฟุต) ซึ่งต่ำกว่าในปัจจุบัน โดยคาดว่าแรกเริ่มเดิมทีมันเคยเป็นถ้ำหิน Limestone มาก่อน ต่อมาพอระดับน้ำทะเลสูงขึ้นก็เลยท่วมถ้ำจนหมด เพดานถ้ำโดนน้ำเซาะจนพังทลาย และยุบตัวซ้ำๆ จนกลายเป็นหลุมกลวงโบ๋อย่างที่เห็นในปัจจุบัน

อันดับที่ 9 ทะเลทรายขาว บราซิล

อีกหนึ่งสวรรค์ของนักเดินทางทะเลทรายขาวอุทยานแห่งชาติ Maranhenses ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทบราซิล ครอบคลุมพื้นที่ราว 1,000 ตารางกิโลเมตร ความอัศจรรย์นอกจากเป็นทะเลทรายสีขาวแล้วยังแฝงไปด้วยทะเลสาบเล็กๆมากมาย ที่ให้ความชุ่มฉ่ำแก่นักท่องเที่ยว และเป็นแหล่งอาศัยของหมู่ปลา การเดินทางเข้ามาทะเลทรายขาว อนุญาตให้ใช้รถโฟร์วีลเท่านั้น เพราะกฎที่นี่ค่อนข้างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการรุกร้ำมากเกินไป ความวาววับของผืนน้ำตัดกับสีนวลจับตาของผืนทราย ถือเป็นสีสันแห่งธรรมชาติ ซึ่งทำให้ ทะเลทรายขาว เป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวอันดึงดูดใจของ ประเทศบราซิล

อันดับที่ 10 แอนทีโลพ แคนยอน

ว่ากันว่าที่แห่งนี้เป็นอีกแห่งนึงที่มหัศจรรย์ที่ธรรมชาติบันดาลให้เกิดขึ้น โดยหุบเขาพิศวงแห่งนี้เกิดจากการพังทลายของชั้นหิน ซึ่งถูกกัดเซาะอย่างฉับพลันจากระแซน้ำที่ซัดผ่านผสานกับแรงพายุลมและฝน ผ่านฤดูการต่างๆมาจนถึงปัจจุบัน และนอกจากนี้หุบเขาแห่งนี้ยังขึ้นชื่อว่าเป็นหุบเขาที่อันตรายที่สุด โดยบริเวณนั้นอาจจะเกิดน้ำท่วมฉับพลันได้ตลอดเวลา และระดับอาจจะสูงได้ถึง 10 เมตรเลยทีเดียว ถึงแอนทีโลพ แคนยอนจะเป็นหุบเขาที่อันตรายที่สุด แต่ก็เป็นหุบเขาที่สวยที่สุดเช่นกัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Thaiza , Mthai

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *