>h5
ภาวะไขมันพอกตับ ที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน ลองมาเช็กอาการที่พอจะสังเกตได้ว่าเรามีไขมันเกาะตับ พร้อมวิธีป้องกันไขมันพอกตับด้วยตัวเอง
ไขมันพอกตับ
/h5>
>h5
ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญและมีบทบาทสูงมากในการรักษาชีวิตให้เป็นปกติ กล่าวคือตับจะคอยทำหน้าที่คัดกรองสารต่าง ๆ ในร่างกาย และปรับสภาพให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานในแต่ละอวัยวะ รวมทั้งเป็นแหล่งเก็บสะสมพลังงานสำรองของร่างกายด้วย ซึ่งหากอวัยวะเช่นตับมีความผิดปกติไป ก็แน่นอนค่ะว่าคงส่งผลร้ายต่อร่างกายเราแน่ ๆ
/h5>
>h5
อย่างภาวะไขมันพอกตับนี่ก็เช่นกัน ซึ่งปัจจุบันพบได้บ่อยในเกือบจะทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในคนอ้วน เป็นเบาหวาน และความดันโลหิตสูง คนที่ดื่มสุราเป็นประจำ ผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี ซี หรือจากภูมิแพ้ กลุ่มคนที่ได้รับยาบางอย่าง เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาต้านการอักเสบ หรือยาลดไขมันในเลือด เป็นต้น รวมไปถึงในกลุ่มคนที่ขาดสารอาหารก็มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดไขมันพอกตับ เนื่องจากตับถูกยับยั้งการทำงานเพราะยาที่กินบ้าง หรือในกลุ่มคนที่ขาดอาหารหรือดื่มสุรา ไขมันจากเนื้อเยื่อก็จะถ่ายโอนมาเก็บไว้ที่ตับเพื่อใช้เป็นพลังงาน ซึ่งหากตับแปรรูปไขมันที่ถูกส่งมาไม่ทัน ก็จะเกิดการสะสมไขมันขึ้นมาในตับ กลายเป็นภาวะไขมันพอกตับในที่สุด
/h5>
>h5
อ่านมาถึงตรงนี้ก็ชักเสียวสันหลังอยู่หน่อย ๆ ว่าเราอาจจะตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยงมีไขมันพอกตับ งั้นมาเช็กกันค่ะว่า ไขมันเกาะตับ อาการเป็นอย่างไรบ้าง
/h5>
>h5
ไขมันพอกตับ อาการเป็นอย่างไร
/h5>
>h5
ภาวะไขมันเกาะตับร้ายมาก ๆ ค่ะ ที่ต้องบอกว่าร้ายเพราะอาการของภาวะนี้ไม่ค่อยแสดงออกอย่างชัดเจน มีการดำเนินโรคยาวนานเป็นสิบปี จะตรวจพบว่ามีไขมันพอกตับก็ต่อเมื่อไปตรวจสุขภาพ เจาะเลือดแล้วพบค่าเอนไซม์ตับผิดปกติไป ทว่าถึงกระนั้นผู้ป่วยภาวะไขมันพอกตับอาจมีอาการไม่จำเพาะดังต่อไปนี้ให้พอเอะใจได้อยู่บ้าง
/h5>
>h5
1. อ่อนเพลียง่าย
/h5>
>h5
2. เบื่ออาหาร
/h5>
>h5
3. ปวดแน่นบริเวณใต้ชายโครงขวา
/h5>
>h5
4. ท้องอืด ท้องเฟ้อ
/h5>
>h5
5. ท้องผูกหรือท้องเสียเป็นประจำ
/h5>
>h5
6. คลื่นไส้ อาเจียน
/h5>
>h5
7. น้ำหนักตัวลดอย่างรวดเร็ว
/h5>
>h5
8. สีผิวบริเวณท้ายทอย รักแร้ และข้อพับดำคล้ำ หรือมีสีผิวไม่สม่ำเสมอ
/h5>
>h5
9. ตัวเหลือง ตาเหลือง คล้ายอาการดีซ่าน
/h5>
>h5
10. ในรายที่มีไขมันพอกตับเนื่องจากฤทธิ์ของสุรา อาจสังเกตตัวเองได้ว่าหลังจากดื่มสุราไปสักพัก จะเกิดอาการไม่สบายกาย เช่น ปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงขวาหนักมาก คลื่นไส้ อาเจียน อึดอัด แน่นท้อง ซึ่งหากเกิดอาการแบบนี้ทุกครั้งที่ดื่มแอลกอฮอล์ ก็พอจะเดาได้ว่าอาจเสี่ยงภาวะไขมันพอกตับเกือบจะ 100%
/h5>
>h5
อย่างไรก็ดี เราสามารถป้องกันภาวะไขมันพอกตับได้ด้วยตัวเราเองนะคะ โดยวิธีดังต่อไปนี้เลย
/h5>
>h5
วิธีป้องกันไขมันพอกตับ
/h5>
>h5
1. รับประทานอาหารทุกมื้อ ไม่อดมื้อใดมื้อหนึ่ง โดยเน้นหลัก หนักเช้า เบาเที่ยง เลี่ยงเย็น คือกินมื้อเย็นให้น้อยกว่ามื้ออื่น ๆ
/h5>
>h5
2. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่อ้วนจนเกินไป
/h5>
>h5
3. หากอ้วนควรลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี โดยลดน้ำหนักลงประมาณ 1-2 กิโลกรัมต่อเดือน
/h5>
>h5
4. พยายามหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้บรรจุกล่อง
/h5>
>h5
5. ลดการบริโภคไขมันอิ่มตัว เช่น ไขมันจากสัตว์ เนย กะทิ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม
/h5>
>h5
6. ลดพฤติกรรมกินจุบกินจิบ โดยเฉพาะพวกขนมขบเคี้ยว
/h5>
>h5
7. หลีกเลี่ยงการกินอาหารเค็มจัด มันจัด เปรี้ยวจัด หรือหวานจัด แต่ควรกินอาหารรสชาติกลาง ๆ
/h5>
>h5
8. กินผัก-ผลไม้ให้มากขึ้น
/h5>
>h5
9. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวัละ 30 นาที
/h5>
>h5
10. พยายามไม่ดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด รวมทั้งบุหรี่ด้วย
/h5>
>h5
11. หลีกเลี่ยงการใช้ยาโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะอาหารเสริม
/h5>
>h5
12. สำหรับคนอ้วน โดยเฉพาะอ้วนลงพุง ควรรักษาระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติมากที่สุด กล่าวคือ ระดับน้ำตาลในเลือดควรน้อยกว่า 120 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร และระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ควรน้อยกว่า 160 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร
/h5>
>h5
13. ตรวจเลือดเป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุเกิน 35 ปี
/h5>
>h5
14. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยต้องหลับให้ได้ 5-6 ชั่วโมงต่อวัน
/h5>
>h5
อย่างที่บอกว่าภาวะไขมันพอกตับเป็นภัยเงียบ มักไม่แสดงอาการกระโตกกระตากให้เราได้ทราบล่วงหน้าก่อน ดังนั้นการป้องกันโรคนี้ที่ดีที่สุดคือพยายามดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองให้ดี หากอ้วนก็ลดน้ำหนักให้สำเร็จ เลิกเหล้า เลิกบุหรี่ รวมถึงหมั่นตรวจสุขภาพประจำปีด้วยก็ดีค่ะ
/h5>
>h5
ที่มา หมอชาวบ้าน, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, โรงพยาบาลลำปาง, webmd, healthline, mayoclinic
/h5>