เปิดบทสัมภาษณ์ เสริม สาครราษฎ์ คดีดังเจนจิรา หลังพ้นโทษ ในเรือนจำมา 8 ปี

หลังจากมีพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ ปี พ.ศ.2554 ออกมา ก็ได้ส่งผลผู้ต้องหาจำนวนหนึ่งได้รับการลดโทษ รวมทั้งนายเสริม สาครราษฎร์ ผู้ต้องหาคดีฆ่าหั่นศพ นางสาวเจนจิรา พลอยองุ่นศรี แฟนสาว เมื่อปี พ.ศ.2541 ที่จะได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระด้วย เนื่องจากครบกำหนดจำคุก 8 ปี วันนี้เราจะมาฟังบทสัมภาษณ์ของเขา แบบจัดเต็ม จาก HI – CLASS ซึ่งถ้าได้อ่านแล้วจะได้อะไรหลายๆอย่างจากบทสัมภาษณ์นี้แน่นอน

บทสัมภาษณ์ “เสริม สาครราษฎ์” คดี เจนจิรา

ซึ่งได้รับอิสระภาพแล้วหลังจากที่เขาชดใช้กรรมในเรือนจำ มา8ปี

ชำแหละหัวใจ…เสริม สาครราษฎร์เมื่อวันที่ 26 ม.ค.2541หากเรายังจำเรื่องราวของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะแพทย์ศาสตร์ วชิระพยาบาล ก่อเหตุฆ่าหั่นศพ น.ส.เจนจิราพลอยองุ่นศรี แฟนสาว นักศึกษาคณะแพทย์ศาสตร์ชั้นปีที่ 5 มหาวิทยาลัยมหิดลได้ก็คงจะทราบว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นคดีสะเทือนขวัญเขย่าวงการเสื้อกาวน์เป็นอย่างยิ่งและหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นได้นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ในชีวิตของคนสองคน คนหนึ่งคือ แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันทน์ รองผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้แจ้งเกิดอย่างเป็นทางการจากคดีดังกล่าว และ อีกหนึ่งคือ เสริม สาครราษฎร์ ตัวการที่ลงมือชำแหละแฟนสาวทิ้งชักโครก ซึ่งวันนี้อิสรภาพของเขาได้สิ้นสุดลง แต่เราไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังกำแพงสูงของเรือนจำบางขวางนั้น เขามีชีวิตอยู่อย่างไร HI-CLASS พาคุณเดินผ่านประตูคุกเพื่อเปิดเปลือยเรื่องราวของนักโทษเด็ดขาดอย่าง เสริม สาครราษฎร์ เข้าไปนั่งรับรู้ตัวตนที่แม้จริง เข้าไปฟังวินาทีสังหารชนิดคำต่อคำ และสัมผัสความรู้สึกหลังความผิดบาปที่ได้ก่อขึ้น

ครอบครัวเสริม สาครราษฎร์

ตั้งแต่เด็กมาก็เป็นเหมือนคนอื่นทั่วไป พ่อแม่ก็อยู่ด้วยกันครอบครัวก็สมบูรณ์คุณพ่อก็ไม่ได้มีภรรยาน้อยอะไรมีอาชีพค้าขาย มีพี่น้องสองคนผมเป็นคนโตแล้วก็มีน้องสาวอีกคนหนึ่ง สมัยประถมผมเรียนที่โรงเรียนศรีราชา เป็นโรงเรียนคริสต์ที่มีแต่ผู้ชายล้วน เรียนอยู่ที่ชลบุรีจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก็เข้ามาที่กรุงเทพฯเป็นโรงเรียนคริสต์อีกเช่นกัน

HI – CLASS : ทำไมถึงตัดสินใจเรียนวิศวะ

เสริม : ตอนนั้นเป็นคนที่สนใจเรื่องเหล่านี้เป็นคนชอบคอมพิวเตอร์ เลยตัดสินใจเรียนวิศวคอมพิวเตอร์

HI – CLASS : แสดงว่าสมัยมัธยมเป็นเด็กเรียนเก่งพอสมควร

เสริม : ตอนมัธยมต้นก็เรียนดีพอสมควร ผมสอบเทียบตั้งแต่มัธยม 4 ช่วงม.ปลายคะแนนอาจจะตกลงไปบ้างเพราะต้องทุ่มเวลาอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเอ็นทราน พอสอบจริงก็ติดคณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยทางภาคใต้แต่ก็ไม่เอา เราตั้งเป้าแล้วว่าเราจะเข้าวิศวจุฬา เลยตั้งใจอ่านหนังสืออย่างหนักแล้วก็สอบเข้าได้

HI – CLASS : ได้ยินมาว่าคุณพ่อเป็นคนที่ดุมากใช่หรือเปล่า

เสริม : ก็เป็นคนค่อนข้างเจ้าระเบียบมากกว่า ไม่ค่อยถูกตามใจเรียกว่าไม่เคยตามใจเลยดีกว่า เขาเลี้ยงลูกให้อยู่ในกรอบ คงเป็นเพราะเขามองอะไรแบบผู้ใหญ่ ผมเลยได้เรื่องความระเบียบอะไรอย่างนี้มาจากคุณพ่อมาก แต่โดยส่วนตัวไม่ใช่คนที่มีนิสัยดุอะไรอย่างที่เข้าใจนะ เป็นคนเงียบๆ และเก็บอารมณ์ได้มากกว่า

HI – CLASS : ระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ คุณเสริม สนิทหรือรักใครมากกว่ากัน

เสริม : ถ้าถามตอนนี้ก็ต้องบอกว่ารักแม่มากกว่าเพราะคุณพ่อเสียแล้ว แต่ถามว่าทั้งคู่รักใครมากกว่ากันนั้นมันตอบลำบาก เพราะเราไม่ได้อยู่กับครอบครัวตลอด เรามาอยู่โรงเรียนประจำมากกว่าพอจบจากโรงเรียนประจำเราก็มาอยู่กรุงเทพฯตั้งแต่ยังเด็ พอมหาวิทยาลัยก็อยู่กรุงเทพฯเลยไม่ค่อยสนิทกับครอบครัวมากเท่าที่ควรเลยไม่รู้ว่ารักหรือสนิทกับพ่อหรือแม่คนไหนมากกว่ากัน

HI – CLASS : คุณพ่อมีส่วนตัดสินใจบ้างหรือเปล่าเพราะได้ยินข่าวว่าพ่ออยากให้คุณเสริมเป็นหมอ

เสริม : ข่าวก็เป็นข่าวลงกันเรื่อย ความจริงคุณพ่อไม่ได้อยากให้เราเรียนหมอมาตั้งแต่ช่วงแรกอยู่แล้ว การตัดสินใจเรียนวิศวก็เป็นการตัดสินใจของผมเอง เราตั้งเป้าว่าจะเรียนทางนี้ แต่พอเรียนจริงมันยากพอสมควร เราต้องเรียนหนัก ความจริงแล้วเราก็ไม่ได้เป็นคนที่เรียนเก่งอะไรมากมาย เกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 2 กว่ายังไม่ถึง 2.5 เลยด้วย ซ้ำ ข่าวเอาไปเขียนว่าเรียนเก่งเป็นเด็กอัจฉริยะ ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย แต่เราก็เรียนมาจนจบวิศว เราเข้าเรียนปี 2535 มาจบเอาปี 2539 ก็ 4 ปีพอดีช่วงที่เราเรียนอยู่ปี 4 เป็นปีที่คุณพ่อเสียชีวิตพอดี

HI – CLASS : มารู้จักกับ ‘เจนจิรา’ ได้อย่างไร

เสริม : ความจริงก่อนที่เราจะมารู้จักกับ ‘เจนจิรา’ ผมเคยมีแฟนมาก่อนแล้วคนหนึ่งแต่พอตอนหลังเขาขอเลิกไปเพราะเรียนหนัก ก็แยกกันด้วยดี จากนั้นเราก็มารู้จักกับ ‘เจนจิรา’ ประมาณปี 3 เข้าปี 4 ก็รู้จักด้วยการเป็นเพื่อนกันก่อนตอนนั้นยังไม่เป็นแฟนกัน เขาเรียนมหิดลเราเรียนจุฬาฯแต่ไปเจอกันในโบถส์เพราะเขาก็นับถือศาสนาคริสต์เหมือนกัน คือไปเจอกันก็เลยมีโอกาสพูดคุยกัน เขาเป็นคนเรียบร้อย ส่วนผมเป็นคนเรียบๆเฉยไม่ค่อยคบหากับใครมากนักชอบเก็บตัวอยู่คนเดียวจึงไม่ค่อยมีเพื่อนอะไรเท่าไหร่

HI – CLASS : ทำไมมีนิสัยเก็บตัวอยู่คนเดียว

เสริม : ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อใจใครง่ายๆโดยเฉพาะผู้ชาย ถึงแม้เราจะเคยเรียนโรงเรียนที่มีแต่ผู้ชายล้วนๆ ก็ตาม เพราะเราเจอแต่ความไม่จริงใจเจอความเห็นแก่ตัวมาเยอะ เราอาจจะมองว่าเพื่อนเป็นสิ่งที่ดีคอยช่วยเหลือกันแต่ความเป็นจริงที่เราเจอมันต่างกัน มีแต่การใส่หน้ากากเข้าหากันตลอด ต้องอยู่ในสังคมที่ใช้ความหรูหรามาวัดกัน อวดมั่งอวดมีอวดรวย ชอบงานรื่นเริง เป็นสังคมที่พยายามแสดงตัวเองออกมาว่าเป็นคนระดับสูง ไม่ได้คบกันด้วยความจริงใจ เราเลยไม่ค่อยเชื่อใจใคร เมื่อมาอยู่มหาวิทยาลัยจึงไม่ค่อยมีเพื่อนจะมีก็แต่เพื่อผู้หญิง

HI – CLASS : ทำไมถึงคิดมาเรียนหมอ

เสริม : ตอนนั้นผมเริ่มอยู่ปี 4 ใกล้จบแล้วเราเริ่มสนิทกันมากขึ้นเราเริ่มแคร์เขามากขึ้น เขาเคยพูดถึงเรื่องอนาคตของเขากับเราว่า หากเรียนจบแล้วอยากจะไปอยู่เมืองนอกและอยากมีแฟนเป็นหมอเหมือนเขา คือตอนนั้นเราคบกันแบบเพื่อนะยังไม่ได้บอกว่าเราชอบเขา และจากตรงนั้นมั้งทำให้เราตัดสินใจเรียนหมอ

HI – CLASS : เราบอกกับ ‘เจนจิรา’ อย่างไรว่าวันนี้เรารู้สึกกับเขามากกว่าการเป็นเพื่อนธรรมดา

เสริม : ไม่ได้บอกอะไรตรงๆ มันเป็นเรื่องที่รู้กันเองเริ่มจากการเป็นเพื่อนกันธรรมดามีเวลาให้กันมากขึ้น เข้าอกเข้าใจกันมากขึ้นมันก็พัฒนาไปเองโดยที่เราก็รู้กันว่าระหว่างเรามันมากกว่าการเป็นเพื่อนแล้ว เริ่มมีการหึงหวงบ้างอะไรแบบนี้ ช่วงวันสำคัญเราก็มีอะไรพิเศษให้กันบ้างอย่างวาเลนไทน์ก็ให้ดอกไม้กัน มันเข้าใจกันโดยไม่ได้บอกออกมาเป็นคำพูด

HI – CLASS : บอกได้มั้ยว่าเรามีอะไรดีที่ทำให้ผู้หญิงมาชอบเรา

เสริม : คงเป็นเพราะผมเป็นคนที่พูดอะไรตรงๆ มั้ง แต่ก็ไม่เคยถามเขานะว่าเขาชอบผมตรงไหน ส่วนเขาค่อนข้างจะเป็นคนจริงจังกับชีวิตพอสมควร ลักษณะนิสัยเรากับเขาคงคล้ายๆ กันคุยกันได้ก็เลยคบกัน คือหลายอย่าง ครอบครัวเขาเองก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แยกทางกันตั้งแต่เขายังเด็ก แม่ก็ไปเปิดร้านอาหารอยู่อเมริกา พ่อก็อยู่อีกทางหนึ่ง เขาต้องมาอยู่กับญาติ คงทำให้ขาดความอบอุ่น พอมาเจอกับเราคุยกันได้ก็สนิทกันจนพัฒนามาเป็นแฟนกัน

HI – CLASS : ข้ามไปเร็วหน่อยหลังจากคบกันมาระยะหนึ่งรู้ได้อย่างไรว่าเขาเริ่มถอยห่างจากเรา

เสริม : เราคบกันมากระทั่งจุดหนึ่งก็เริ่มมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองคน คือผมเช่าหออยู่เขาก็มาอยู่ด้วยกับเราเหมือนแฟนทั่วไปที่ผู้หญิงผู้ชายใช้ชีวิตร่วมกันก่อนแต่งงาน อันที่จริงเขาก็มีบ้านนะบางทีเขาก็กลับบ้านบ้าง นอนหอตัวเองบ้าง อยู่กับเราบ้าง อาทิตย์หนึ่งอยู่กับเราประมาณ 3-4 วัน อะไรแบบนี้ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดแต่ระยะหลังเราเริ่มสังเกตว่าเขาเปลี่ยนไปจากเดิม เริ่มมีธุระมากขึ้นเริ่มไม่ค่อยว่าง คือโดยสัญชาติญาณเรารับรู้ได้ว่ามันไม่เหมือนเดิม เขาเคยพูดขึ้นมาครั้งหนึ่งว่าไปรู้จักกับพี่ชายของเพื่อนคนหนึ่งเป็นคนที่ให้คำปรึกษาในหลายๆ เรื่อง และเคยมีครั้งหนึ่งเขามาเล่าให้ฟังว่า มีเพื่อนผู้หญิงซึ่งมีแฟนอยู่แล้วมาปรึกษาเขา บอกว่าเขาไปชอบผู้ชายอีกคนหนึ่งจะทำอย่างไรดี ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไรก็ให้คำปรึกษาไปว่าแล้วแต่ผู้หญิงคนนั้นว่าจะคิดอย่างไรทำนองนี้ แต่พอกลับมานั่งนึกก็เลยเข้าใจว่าอาจเป็นตัวเขาเองที่ไปชอบผู้ชายคนอื่น เราเริ่มสังเกตพฤติกรรมเขามากขึ้นช่วงที่อยู่กับเรา มีครั้งหนึ่งที่เรานัดกันไปไหนสักแห่งแต่ปรากฏว่าเขาไม่ยอมมาตามนัด ผมเลยจะโทรไปฝากข้อความทางเพจเจอร์ของเขา แต่ก่อนจะฝากข้อความผมก็เช็คข้อความของเขาก่อนว่าฝากอะไรถึงเราหรือเปล่าเพราะเราใช้เพจร่วมกัน โดยที่ผมเองก็มีรหัสผ่าน พอเข้าไปเช็คก็เจอข้อความที่ถูกส่งมาจากรุ่นพี่คนนั้น เป็นคำพูดโรแมนติคมากที่หยิบมาจากภาพยนต์เรื่องหนึ่งแต่ผมจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร และในข้อความนั้นเขาก็นัดไปดูหนังกัน เราเลยรู้ว่าที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เองถึงไม่ว่างและไม่มาตามนัด พอรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งเราก็ถามว่าเมื่อวานไปไหนมา เขาตอบว่าไปดูหนังแล้วก็กินข้าวกับน้องซึ่งไม่ได้เจอกันนาน เราก็รู้แล้วว่าเขาโกหกไม่บอกความจริงกับเรา ความจริงแล้วมันมีอะไรมากกว่าการไปดูหนังกันธรรมดา มันมีหลักฐานซึ่งผมรู้มานานแล้วไม่ใช่แค่ครั้งนี้ผมไม่อยากพูดถึงเอาเป็นว่าผมพูดกว้างๆ ดีกว่าว่าเขาไปมีอะไรกับคนอื่นด้วยนอกเหนือจากเรา พอดีวันนั้นเป็นวันที่ผมระเบิดออกมาจึงเกิดการทะเลาะกัน หากวันนั้นเขายอมรับออกมาเรื่องก็อาจไม่บานปลายถึงขนาดนี้ ผมมานั่งคิดดูเราอาจจะต่างคนต่างเลิกรากันไป แต่วันนั้นเขาไม่ยอมรับผมเลยโกรธมาก

HI – CLASS : เหตุการณ์โศกนาฎกรรมวันนั้นเป็นอย่างไรอยากได้ยินจากปากคุณโดยตรง

เสริม : วันนั้นเราโกรธมาก มันหน้ามืดไปหมดอาจเป็นเพราะเราควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ด้วย ตอนนั้นผมเองเพิ่งอายุ 22 ปี ความคิดอะไรมันก็ยังควบคุมไม่อยู่ อารมณ์ตอนนั้นมันโกรธจัด ทะเลาะกันรุนแรงมาก ผมเองไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องโกหกเรา มาหลอกเราทำไม คิดอะไรไม่ออกโมโหมากเดินเข้าไปหยิบปืนแล้วก็เขายิงทันที
HI – CLASS : ไปเอาปืนมาจากไหน กระแสข่าวออกมาว่ามีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า

เสริม : ผมเก็บปืนไว้ที่ห้องนานแล้วเขาก็รู้ เพราะแถวที่ผมอยู่นั้นมันเปลี่ยวชาวต่างชาติพวกไนจีเรียอยู่กันเยอะ ผมเองรู้สึกไม่ปลอดภัยเลยไปเอาปืนจากที่บ้านมาเก็บไว้เผื่อป้องกันตัว

HI – CLASS : ตอนที่ยิงเขาคิดหรือเปล่าว่าจะต้องยิงให้ตายหรือแค่ให้เจ็บ

เสริม : ตอนนั้นก็คิดเลยว่ายิงให้ตายเพราะมันโกรธจัด คือผมจ่อยิงที่หัวเลย เป็นเรื่องของอารมณ์มากกว่า ไม่ใช่เราฆ่าเขาแล้วเราจะรู้สึกดีนะ ไม่ใช่เราฆ่าเพราะอยากให้เขาตายให้สมกับความแค้นที่เขาได้หักหลังเรานะ มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบ
HI – CLASS : สังคมมองว่าคุณเป็นฆาตกรโหดเจิ๊้ยมผิดมนุษย์ที่ฆ่าแฟนตัวเองแล้วยังแล่ศพด้วยความใจเย็น

เสริม : ตอนนั้นผมไม่รู้จะทำอย่างไรดี ยิงเขาไปแล้วมันเป็นอารมณ์ชั่ววูบ พอตั้งสติได้ก็ร้องไห้เสียใจสงสาร ไม่น่าทำแบบนี้เลย จากนั้นก็อุ้มศพเขาเข้าไปในห้องน้ำนั่งมองศพอยู่นานไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ตอนนั้นเริ่มกลัวแล้วไม่อยากถูกจับ เลยจัดการแร่เป็นชิ้นๆ เพื่อทิ้งลงน้ำโดยใช้มีดทำครัวธรรมดานี่แหละไม่ใช่มีดผ่าศพของหมออย่างที่เข้าใจ แล่เป็นชิ้นแล้วทิ้งลงชักโครก แต่พอทิ้งไปได้สักพักมันกดน้ำไม่ลงคือท่อมันตัน ผมเลยทิ้งศพไว้ในห้องแล้วออกมาซื้อถุงดำ ซื้อน้ำยาล้างห้องน้ำ ซื้อไม้ที่ปั้มท่อ พอกลับมาน้ำมันเพิ่งลดลงไปหน่อยเดียวเองเลยต้องใช้ที่ปั้มนั้นปั้มท่อไปด้วย ส่วนกระดูกที่เหลือก็เอาไปทิ้งที่แม่น้ำบางปะกง

HI – CLASS : เป็นไปได้หรือไม่ว่า เพราะการที่คุณเรียนหมอต้องเคยเรียนผ่าศพด้วยและต้องเห็นศพบ่อยๆ ทำให้ไม่รู้สึกกลัวและสามารถแล่ศพได้อย่างใจเย็น

เสริม : คือเป็นเรื่องชาชินธรรมดาความจริงรู้สึกนะไม่ใช่ไม่รู้สึกอะไร เพราะศพที่อยู่ตรงหน้ามันเป็นแฟนเราเป็นคนที่เรารัก ต่างจากการเรียนผ่าศพที่เรียกว่าอาจารย์ใหญ่นั่นเราจะไม่ค่อยรู้สึกอะไรเพราะเราไม่รู้จักเขา การที่ต้องแล่ศพเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรเราทำลายหลักฐานไม่ได้ เราเอาลงมาจากข้างบนหอไม่ได้มันใหญ่เกินไปคนจะสงสัย เลยต้องแล่ศพ หากเป็นที่อื่นก็อาจเผาทำลายหลักฐานได้หรืออย่างอื่น แต่นี่เป็นห้องที่เราอยู่จึงต้องใช้วิธีนี้ เรื่องเรียนหมอหรือไม่ได้เรียนหมอมันไม่เกี่ยวแต่มันเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำวิธีนี้ คุณพ่อค้าขายหมูก็อาจใช้วิธีนี้ก็ได้

HI – CLASS : ตอนที่คุณชำแหละศพช่วงที่ต้องตัดคอคุณไม่เห็นหน้าเขาหรือคุณมองหน้าเขาอยู่หรือเปล่า

เสริม : เปล่าผมตัดจากทางด้านหลัง ผมจับเขาหันหลัง คืออย่าเข้าใจว่าเป็นความรู้สึกที่ดีนะ มันแย่มากตอนนั้น เราเคยอยู่ด้วยกันมาก่อนไม่คิดว่าจะมาจบลงตรงนี้ ผมยังพูดกับศพเลยไม่ได้อยากจะทำอย่างนี้ ขอโทษเขาตลอด แต่ก็ไม่อยากถูกจับมันจำเป็นต้องทำ

HI – CLASS : หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไปแล้วคุณรู้สึกกลัวหรือเปล่า เพราะได้ยินว่าคุณก็ยังอยู่ที่ห้องที่เกิดเหตุ

เสริม : ไม่ได้กลัวอะไร ผมเองก็ยังอยู่ที่นั่นเป็นเดือนไม่ได้หนีไปไหน แต่ก็เหงาบ้างเวลาที่เราขาดเขาไปเพราะเคยอยู่ด้วยกัน

HI – CLASS : เหตุการณ์วันที่คุณถูกจับกุมเป็นอย่างไร

เสริม : เรื่องมันผ่านมาได้เกือบเดือนหนึ่งแล้วหลังจากที่ผมฆ่าเจนจิรา ผมก็ยังอยู่ที่ห้องนั้นปกติต่อมา วันนั้นผมเดินๆ อยู่ริมถนนก็มีคนมาอุ้มผมขึ้นรถตู้ ปิดตาผม จากนั้นก็ใส่กุญแจมือแล้วก็ซ้อมด้วย พอเปิดตามาก็รู้ว่าเป็นตำรวจ หลังจากนั้นเขาก็พามาส่งที่สน.สอบสวนผมเสร็จแล้วก็ให้เราเซ็นชื่อรับสารภาพ ว่าฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฆ่าด้วยความทารุณโหดร้าย เขาบอกว่าเซ็นไปก่อนแล้วค่อยไปสู้กันที่ศาล

HI – CLASS : ทำไมถึงต้องซ้อมด้วย

เสริม : ผมก็ไม่รู้แต่ได้ยินว่าทางญาติจะให้เงินรางวัลหากใครเจอศพลูกสาวเขา ผมก็ไม่รู้เป็นอย่างไร แต่พอหลังจากจับผมได้แล้วดูเหมือนตำรวจคนนั้นจากที่เคยใช้โทรศัพท์ธรรมดาก็เปลี่ยนมาใช้รุ่นใหม่ การซ้อมก็อาจเป็นการคาดคั้นเอาหลักฐานก็เป็นได้ อันนี้ผมไม่รู้เหมือนกันอาจจะเป็นเพราะแบบนี้ก็ได้

HI – CLASS : รู้สึกอย่างไรบ้างกับคุณหญิง แพทย์หญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ที่เข้ามาทำคดีนี้

เสริม : ถึงแม้เขาไม่เข้ามาทำคดีนี้ ผมรู้ว่าผมก็คงต้องติดคุกอยู่ดี เพราะเรารับสารภาพไม่ใช่เพราะคุณหมอพรทิพย์เข้ามาพิสูจน์ แต่สังคมมองว่าเพราะคุณหมอเข้ามาทำคดีถึงสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ แต่ความจริงนั้นมันไม่ใช่ ผมคิดว่าโดยทางรูปคดีสามารถสาวมาถึงตัวผมได้อย่างแน่นอนผมเลยรับสารภาพ โดยส่วนตัวผมไม่เคยรู้สึกอะไรกับคุณหมอ ไม่มีความโกรธแค้นเขาแต่อย่างใด

HI – CLASS : ตอนที่ศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิตตอนนั้นรู้สึกอย่างไร

เสริม : ผมทำใจไว้แล้วไม่มีอะไร แต่ก็ต่อสู้จนถึงศาลฎีกา ในชั้นฎีกาผมต่อสู้ในประเด็นที่ว่า ผมไม่ได้โดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ทุกชั้นศาลก็ไม่ได้เชื่อเราอย่างนั้นเพราะเขามองเห็นว่าเรามีปืนอยู่เขามองว่าเราเตรียมการ แต่ผมยืนยันว่าไม่ได้ไตร่ตรองเป็นอารมณ์ชั่ววูบ แต่เราก็ทำใจไว้แล้ว

HI – CLASS : คำว่า ‘โหด’ ในพจนานุกรรมของเสริม สาครราษฎร์ หมายถึงอะไร

เสริม : การที่ฆ่าใครสักคนในความคิดของผมมองว่าไม่ใช่เรื่องโหดอะไร แต่การที่ขังคนจนตายอย่างนี้สิโหด การฆ่าคนๆ หนึ่งมันจบลงตรงนั้นเลยเขาไม่ได้รู้สึกอะไรต่อ แต่การขังให้เขาอยู่อย่างนั้น 20 ปี 25 ปีอย่างนี้ผมถือว่าโหดเหมือนฆ่าเขาทั้งเป็น บางคนแก่หง่อมทำอะไรไม่ได้แล้วยังต้องติดคุกอยู่อีก

HI – CLASS : แสดงว่าวันที่ศาลตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิตวันนั้น หากเลือกได้คุณอยากถูกประหารชีวิตมากกว่า
เสริม : ผมว่าประหารยังดีเสียกว่าเพราะการติดคุกมันทรมาน แต่ถามว่าอยากตายมั้ยต้องตอบว่าไม่อยากเพราะผมยังมีแม่อีกคนที่รออยู่ผมยังอยากเจอแม่ แต่สิ่งที่ผมกำลังบอกก๋คือการขังใครในระยะเวลานานขนาดนั้นมันไม่มีประโยชน์ ออกไปเขาไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ซึ่งอาจจะกลับไปกระทำผิดอีกเพราะไม่รู้จะทำอะไร

HI – CLASS : คุณเชื่อว่าการกักขังอิสระภาพไม่ใช่วิธีลงโทษที่ถูกต้อง

เสริม : มันเป็นวิธีลงโทษที่ช่วยได้ในระยะหนึ่งเท่านั้น แต่นานเกินไปไม่มีประโยชน์ การที่คนติดคุก 20 ในนี้กับข้างนอกมันต่างกันโดยสินเชิง ข้างนอกอาจมองว่าแป๊บเดียวแต่สำหรับคนที่นี่มันนานแสนนาน

HI – CLASS : วันแรกที่เดินเข้าเรือนจำรู้สึกอย่างไร

เสริม : ความรู้สึกแรกเลยเราคิดว่ามันต้องน่ากลัวโหดร้าย มีมาเฟียร์เหมือนอย่างในหนังที่เราเคยดูมา แต่พอเข้ามามันไม่ใช่อย่างนั้นเป็นการอยู่ร่วมกันแบบเพื่อนมากกว่า เจ้าหน้าที่ให้การดูแลเราดี ไม่ใช่ว่าจะมาทำร้ายอะไรเรา เรื่องร้ายๆ ก็มีบ้างเป็นธรรมดาแต่ไม่ใช่ทั้งหมดมีเพียงส่วนหนึ่ง แต่เอาเป็นว่าไม่พูดถึงดีกว่าครับพูดแล้วไม่ดีผมอาจไม่มีโอกาสมานั่งคุยแบบนี้ได้อีกเอาก้วางก็พออย่างเรื่อพี่ใหญ่ก็มีบ้าง เช่นเราไปช่วยงานเขา ไปซักผ้าให้เขาทำงานให้เขาบ้าง แล้วเขาก็ให้สิ่งของตอบแทนเป็นการพึ่งพากันมากกว่า อย่างผู้ต้องขังบางคนไม่มีญาติมาเยี่ยมเลย คนที่มีญาติมาเยี่ยมก็จะมีของกินข้าวใช้ก็แบ่งกัน คือให้สิ่งตอบแทนเป็นข้าวของ

HI – CLASS : มีคนมาเยี่ยมคุณเสริมบ่อยหรือเปล่าหลังจากเกิดเรื่อง

เสริม : ก็ไม่มีแล้ว ไม่มีใครมาเยี่ยมเลย เพราะข่าวสร้างให้เราดูน่ากลัว วันนี้เพื่อนเก่าๆ กับเรามันเหมือนกับอยู่กันคนละโลกแล้ว ตอนนี้เราจะมีเพียงเพื่อนใหม่ที่เข้าใจเรา เพื่อนที่อยู่ในคุกเหมือนกับเรา เรารู้สึกว่าทุกอย่างข้างนอกจบสิ้นแล้วเรามีเพียงโลกของเราในนี้เพื่อนก็มีเท่าที่นี้เท่าที่อยู่ร่วมกัน เพื่อข้างนอกหายหน้าไปหมดแล้ว แม่ก็ไม่ค่อยมานานๆ จะมาสักครั้งคงเพราะเราทำให้เขาเสียชื่อเสียง ผมเองเคยเขียนกลอนไปให้ที่ช่อง 3 ด้วยนะช่องคำคม เป็นเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนี่แหละเขียนในทำนองว่า เวลาเราดีก็มาหากันเยอะแยะแต่พอเราพลาดไปก็หายหน้ากันไปหมด

HI – CLASS : ได้ยินมาว่าคุณเสริมไม่ค่อยถูกกับผู้คุมใช่หรือเปล่า

เสริม : (หัวเราะ) เรื่องนี้พูดไม่ได้เอาเรื่องที่คุยได้ดีกว่า

HI – CLASS : แสดงว่าคุณเกเรหรือเปล่า

เสริม : ผมทำตัวเรียบร้อยนะ แต่อาจจะเป็นคนที่พูดตรงไปหน่อยเท่านั้น เป็นคนที่ไม่ค่อยตามน้ำเหมือนคนอื่นเท่าไหร่ อย่างสมมุติว่ามีเรื่องเกิดขึ้นในคุกผมเห็นอย่างไรก็พูดอย่างนั้น บางทีเขาก็ไม่ค่อยชอบเพราะคนอื่นอาจถูกสั่งให้ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ แต่ผมเห็นอย่างไรก็พูดอย่างนั้นเลยไม่เป็นที่ถูกใจ

HI – CLASS : ผลที่ตามมาเป็นอย่างไรก็โดนย้ายบ้าง

เสริม : อย่างที่ผมเคยโดนย้ายไปที่เรือนจำกลางคลองไผ่ ที่โคราช ที่นั่นกฎระเบียบเข้มงวดกว่าที่นี่มาก ลำบากกว่า ที่นั่นขนาดน้ำที่ใช้กินเขาต้องผ่านเครื่องกรองใช่ใหมยังเขียวอื๋ออยู่เลย ลำบากกว่าที่นี่ อย่างที่นี่ค่อนข้างอบอุ่นเขาดูแลเราดี ขึ้นอยู่กับนาย นายที่ย้ายมาอยู่ที่นี่เขาใจดีดูแลเรื่องสวัสดิการดี

HI – CLASS : คนที่ทำความผิดกับคนที่มีนิสัยไม่ดีเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

เสริม : คนที่มาอยู่ในนี้มีทั้งคนที่ไม่ดีและคนที่ดี คนที่เป็นผู้ร้ายโดยสันดารก็มีแต่ไม่เยอะนะในความคิดของผม คนที่คิดว่าเมื่อออกไปก็จะทำความผิดอีกก็มีแต่ไม่เยอะ ไม่อยากให้คนข้างนอกมองว่าคนที่มาอยู่ตรงนี้เป็นคนไม่ดีไปเสียทุกคน

HI – CLASS : อยู่ที่นี่ผู้ต้องขังต้องทำอะไรบ้าง

เสริม : ตื่นเช้ามาก็ออกกำลังกาย กินข้าว จากนั้นก็แยกย้ายไปทำงาน ใครเรียนหนังสือก็ไปเรียน อย่างผมก็สอนหนังสือให้ผู้ต้องขัง สอนภาษาอังกฤษพอดีเรามีความรู้เรื่องเหล่านี้อยู่บ้างก็ช่วยสอนได้ ใครถนัดอะไรก็ทำอย่างนั้น กำลังคนเจ้าหน้าที่มีน้อยก็เลยเอาผู้ต้องขังเข้ามาช่วยงาน

HI – CLASS : ได้ยินว่าเพิ่งเรียนจบคณะนิติศาสตร์อีกใบหนึ่งทำไมถึงเลือกเรียนวิชานี้

เสริม : อยากที่จะช่วยเหลือคนอื่นด้านคดีอะไรแบบนี้
เพราะเรารู้สึกว่าอย่างตอนที่เราเซ็นชื่อรับสารภาพโดยไม่รู้ว่าจะส่งผลให้รูปคด­ีเสีย
ไม่รู้ว่าข้อกล่าวหานั้นมันเกินความจริงเพราะไม่ได้มีความรู้เรื่องกฎหมายทำให้­เราเสียเปรียบก็เลยอยากช่วยคนอื่นบ้าง

HI – CLASS : เลยเลือกเรียนนิติศาสตร์มสธ.ก็จบแล้วตอนนี้

เสริม : อย่างในนี้ก็เหมือนกันบางคนก็เป็นแพะรับบาป ไม่ได้ทำความผิดจริงก็มีเยอะแยะ
เราอยากช่วยเขา ช่วยพิมพ์คำร้องบ้าง ช่วยพิมพ์ใบถวายฎีกาบ้าง บางทีเขาก็ให้ของตอบแทนเราบ้างอะไรแบบนี้ แต่บางทีเขาไม่มีก็เข้าเนื้อเราเหมือนกันแต่ก็อยากช่วย เราไม่เคยไปเรียกอะไรจากเขา

HI – CLASS : ความหวังสูงสุดวันนี้คืออะไร

เสริม : ความหวังสูงสุดก็อยากได้รับการอภัยโทษลงบ้าง เพื่อโอกาสวันหนึ่งจะได้กลับออกไปอยู่กับครอบครัวเรา อีกสิ่งหนึ่งคือหากมีโอกาสได้ออกไปอยากเจอหน้าแม่อีกครั้ง
อยากออกไปทันในช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่ ถ้าหากพูดความหวังในปัจจุบัน ก็อาจเป็นเรื่องสวัสดิการในเรือนจำอยากให้ผู้ต้องขังมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี­้ แต่ที่พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้มันเลวร้ายรับไม่ได้นะ ตอนนี้ตั้งแต่ผบ.คนนี้มาอยู่ที่นี่ก็ดีกว่าเมื่อก่อนท่านสนใจเรื่องสวัสดิการขอ­งผู้ต้องขังมากขึ้น เรื่องห้องเยี่ยมก็มีการตั้งตั้งโทรศัพท์ให้ 

ในวันศุกร์ผู้ต้องขังมีโอกาสพบญาติใกล้ชิดมากขึ้น เรื่องราคาสินค้าก็ปรับปรุงให้มีราคาถูกลงกว่าแต่ก่อนซึ่งก็ถือว่าดีกว่าเมื่อก­่อน เรื่องสวัสดิการนี่แหละคือเรื่องที่ผู้ต้องขังต้องการ

HI – CLASS : ต้องสรุปว่าชีวิตรักของคุณล้มเหลว เป็นความรักที่เจ็บปวด วันนี้คุณยังศรัทธาในความรักอยู่หรือเปล่า

เสริม : ยังเชื่อมั่นอยู่ ไม่ได้คิดว่าความรักเป็นเรื่องหลอกลวงอะไรเพียงแต่ความรักที่เราเจอมันไม่สวยงา­นเท่านั้นเอง ยังศรัทธาอยู่เสมอเชื่อว่าคงมีสักวันที่ได้เราเจอความรักที่งดงามเป็นคนที่รักเ­ราจริงๆ

HI – CLASS : ณ วันนี้คุณยังเชื่อว่ามีความหวังที่จะได้เจอความรักแบบนั้น

เสริม : ก็ยังหวังอยู่เสมอ แต่คงจะมีความคิดอีกแบบหนึ่ง คืออาจไม่รักใครหัวปักหัวปำแบบนั้นอีกแล้ว คงไม่กล้ารักเขาเต็มร้อยอีกแล้ว

HI – CLASS : หากมีโอกาสได้ออกไปข้างนอกเหตุการณ์อย่างนี้จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีกหรือไม่หาก­เขาทิ้งคุณไปอีก

เสริม : ไม่เอาแล้ว ครั้งเดียวก็พอแล้ว ไม่ฆ่าอีกแล้ว

HI – CLASS : อย่างแรกที่อยากทำเมื่อออกไปแล้วคืออะไร

เสริม : ตอนนี้ผมก็มีความหวังอยู่อย่างหนึ่งคือหากวันหนึ่งผมได้ออกไปจากที่นี่
ผมหวังว่าแม่ของผมยังคงอยู่ไม่เสียชีวิตไปก่อนเพราะผมเหลือแม่คนเดียว แต่แม่จะเปิดรับผมเข้าบ้านหรือไม่นั้น ยังไม่แน่ใจว่าท่านรับผมได้หรือเปล่าเพรา­ะผมทำให้เสื่อมเสียวงศ์ตระกูล แม่คงเสียใจเรื่องผมมาก ส่วนเรื่องออกไปแล้วอยากทำอะไรนั้นคงต้องขึ้นอยู่กับอายุด้วยว่าตอนนั้นอายุเรา­เท่าไหร่แล้ว หากอายุมากก็อยากกลับทำเกษตร หากอายุยังน้อยก็อยากเป็นทนายช่วยคนอื่น หรืออาจต้องทำงานใช้หนี้ที่ญาติผู้ตายที่ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย 18 ล้าน เรายังไม่รู้ว่าจะเอาปัญญาที่ไหนไปใช้หนี้
แต่ผมก็อยากใช้หนี้เขานะเพราะผมเป็นคนก่อเรื่องขึ้นเอง

HI – CLASS : อยากบอกอะไรกับสังคมบ้างจากบทเรียนที่คุณผ่านมา

เสริม : ก็อยากจะบอกว่าอย่าใช้อารมณ์ในการแก้ปัญหา เพราะอารมณ์ชั่ววูบเพียงนิดเดียวทำให้เราเสียใจไปตลอดชีวิต นอกจากเราเองแล้วครอบครัวเขาก็ต้องสูญเสียคนที่เขารักไปด้วย เราเองก็ต้องสูญเสียคนที่เรารักไป ทุกอย่างมันแย่ไปหมด ในส่วนของครอบครัวเจนจิราผมก็อยากจะบอกว่าผมขอโทษในเรื่องที่เกิดขึ้น ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะทำอย่างนั้น ผมรู้ว่าเขาอาฆาตผมมาก แต่มันพลาดไปแล้วผมเสียใจ วันนี้ผมได้รับผลกรรมที่ตัวก่อแล้ว ผมไม่อยากให้ใครตกอยู่ในสภาพนี้เหมือนผม

2 Comments on “เปิดบทสัมภาษณ์ เสริม สาครราษฎ์ คดีดังเจนจิรา หลังพ้นโทษ ในเรือนจำมา 8 ปี”

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *