เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ชาวบ้านหมู่ 4 ต.เมืองพลับพลา อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา ท่านหนึ่ง ทราบชื่อต่อมาคือ นางเอมอร ปาลเกิด ได้นำเอกสารหลักฐานเข้าร้องเรียนกับ เจ้าหน้าที่องค์กรช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ (NRO) เพื่อขอความช่วยเหลือในด้านคดีข้อพิพาทเรื่องที่ดินทำกิน หลังจากได้ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งต่อจากคนรู้จักเมื่อประมาณ 24 ปีก่อน และได้เข้าทำประโยชน์ปลูกพืชไร่พืชสวนเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่ได้กลับถูกคู่กรณีซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเดิมนำรถไถเข้ามาปรับเกลี่ยที่ดินที่ได้ปลูกมันสำปะหลังแล้ว พร้อมทั้งล้อมรั้วไม่ให้ตนเข้า รวมถึงได้ส่งทนายมาเพื่อเจรจาขอคืนเงินตามมูลค่าเดิมเพื่อไถ่ถอนที่กลับไปเป็นของเจ้าของตามเดิม โดยอ้างว่าตนใช้ที่ดินทำกินจนได้กำไรคุ้มเกินมูลค่าของที่ดินแล้ว
โดยนางเอมร เล่าว่า เมื่อประมาณปี พ.ศ.2540 ทางคู่กรณีได้มาขอหยิบยืมเงินไปจำนวน 320,000 บาท โดยได้นำที่ดินซึ่งเป็นที่ดินซึ่งเป็นแบบ ภบท.5 (ภาษีบำรุงท้องที่) จำนวน 25 ไร่ 2 งาน มาวางค้ำประกันโดยมีสัญญาไถ่ถอนคืนภายในปี พ.ศ.2543 แต่เมื่อครบกำหนดคู่กรณียังไม่มีเงินมาคืนให้ จึงได้มีทำสัญญาซื้อขายที่ดินเท่ากับมูลค่าหนี้ที่ยืมไป ที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านหมู่ 11 ต.หลุ่งตะเคียน อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา โดยมีผู้ใหญ่บ้านเป็นสักขีพยาน
หลังจากได้ที่ดินผืนดังกล่าวไปแล้ว ตนและครอบครัวก็ได้เข้าทำประโยชน์ปลูกอ้อยและมันสำปะหลังเรื่อยมา โดยมีการเสียภาษีบำรุงท้องที่และลงทะเบียนเกษตรกรอยู่ทุกปีไม่ขาด จนกระทั่งเมื่อกลางดึกของวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา คู่กรณีซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเดิมได้นำรถไถเข้าปรับไถหน้าดินซึ่งตนได้ลงทุนกว่า 200,000 บาท ในการปลูกมันสำประหลังไปแล้วทำให้พืชผลเสียหายรวมถึงได้ล้อมรั้วแล้วปิดประกาศระบุข้อความว่า
เรียนมาเพื่อทราบ ปีนี้ห้ามทำนะครับ ผมจะทำเองปีนี้และเรื่องราคาสวนผมจะให้ในราคาเท่าที่ผมเอาไป 320,000 บาทเท่านั้น เงินผมเตรียมเอามาไว้แล้วจะเอาวันไหนบอกมา เอาไม่เอาผมก็จะทำสวนเหมือนเดิม (ห้ามทำนะครับ) ผมให้ทำหลายปีแล้วกำไรอื้อซ่า
นอกจากนี้ตนยังทราบอีกว่าคู่กรณีได้นำเอกสารหลักฐาน ภบท.5 ฉบับเดิมไปขอออกเอกสารสิทธิ์ที่ สปก.นครราชสีมา ตนเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพลับพลา เพื่อให้ดำเนินดคีกับคู่กรณีในข้อหาบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ อีกทั้งยังได้ดำเนินการยื่นคัดค้านการออกเอกสารสิทธิ์ สปก.ของคู่กรณี เนื่องจากตนมองว่าที่ดินแปลงดังกล่าวตนได้มาโดยชอบธรรม และเข้าทำประโยชน์ต่อเนื่อง ต่างจากคู่กรณีที่ไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่ดินเลย จนเมื่อความเจริญเข้าถึง ทั้งถนนคอนกรีตไฟฟ้า ประปา คู่กรณีกลับจะมาชุบมือเปิบยึดเอาที่ดินคืนในมูลค่าเท่ากับที่ตนจ่ายให้ไปเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ที่ผ่านมาตนได้พยายามติดต่อขอเจรจาแต่ไม่สามารถติดต่อได้เลยอ้างว่าติดธุระ ในขณะที่ผู้สื่อข่าวก็ได้พยายามติดต่อไปแต่ก็ไม่มีสามารถติดต่อได้เช่นกัน