ทนายร่วมสังเกตผ่าร่าง บุ้ง ไม่พบอาหารในกระเพราะ ซัดถ้าสบายจริง จะตายแบบนี้ไหม

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 15 พ.ค.67 ที่ ภาควิชานิติเวชศาสตร์ สาขานิติเวช โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความประจำศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ให้สัมภาษณ์ภายหลังใช้เวลาในการผ่าชันสูตรพลิกศพร่างของ บุ้ง เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง ทะลุวัง นักกิจกรรมทางการเมือง นานเกือบ 2 ชั่วโมง นายกฤษฎางค์ กล่าวว่า หลังจากเข้าร่วมสังเกตการณ์การผ่าชันสูตร ร่วมกับแพทย์แผนกนิติเวช โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมเกียรติ 3 ท่าน เข้ามาช่วยกันผ่าพิสูจน์ โดยตลอดการผ่าเป็นไปตามหลักทฤษฎีและเปิดเผย รวมทั้งนำเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ ไปส่งตรวจที่แล็บแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างปฏิบัติการ พร้อมทั้งตรวจอวัยวะอย่างละเอียดด้วยว่า มีการกระทบกระเทือนอะไรหรือไม่ ส่วนสารคัดหลั่งและเลือด จะเอาไปส่งตรวจที่แล็บ โรงพยาบาลรามาธิบดี

เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญและมีเครื่องมือทันสมัย โดยคาดว่าผลตรวจคร่าวๆ น่าจะออกวันที่ 15 พ.ค. ส่วนรายละเอียดเรื่องสารพิษหรือว่าเลือดมีสารมีอะไรปะปนอยู่หรือไม่นั้น ต้องรอผลจากโรงพยาบาลรามาธิบดี จึงจะรีบแจ้งทันที นายกฤษฎางค์ กล่าวอีกว่า ตลอดการผ่าศพ เราได้สอบถามแพทย์หลายเรื่อง ทั้งเรื่องของ “หัวใจล้มเหลว” ซึ่งแพทย์บอกว่าต้องผ่าตัดหัวใจดู แล้วจะนำไปวิเคราะห์อีกครั้งว่าเกิดจากสาเหตุใด เมื่อถามว่าการผ่าชันสูตรศพครั้งนี้ สามารถเห็นน้ำ นม หรืออาหารในกระเพาะอาหารหรือไม่ นายกฤษฎางค์ บอกว่า ส่วนตัวเห็นการผ่ากระเพาะอาหาร ซึ่งต้องนำไปวิเคราะห์ต่อ แต่เท่าที่ดูด้วยตาเบื้องต้นไม่พบอะไรเลย

โดยในรายละเอียดว่าจะอยู่ในลำไส้ใหญ่หรือลำไส้เล็กหรือไม่ ต้องรอผลที่ชัดเจน ขอให้รอฟังข้อสรุปจากแพทย์อีกครั้ง รวมถึงผลค่าตับกับค่าไตด้วยว่ามีสารพิษหรือไม่ ส่วนสภาพภายนอกพบว่า มีรอยช้ำเล็กน้อย อาจจะเกิดจากการหอบหิ้วหรือถูกอุ้มและซี่โครงบางซี่ ได้รับการกระเทือนจากการทำซีพีอาร์ เมื่อถามว่าภายหลังกรมราชทัณฑ์ออกมาแถลงว่าหลังจากบุ้งกลับไปพักฟื้นที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ได้กินอาหารคือ ข้าวต้มกับไข่เจียว มาโดยตลอดและอยู่ด้านในแบบสุขสบายนั้น นายกฤษฎางค์ บอกว่า “ส่วนตัวมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่สำคัญสำหรับผม เพราะบุ้งจะกินหรือไม่กินหรือจะอยู่แบบสุขสบาย แต่ว่าการเสียชีวิตแบบนี้ มันตายในอ้อมแขนของคุณ ซึ่งถ้าคนสุขสบายดี คงไม่ตายหรอก

โดยส่วนตัวเชื่อว่าประชาชนหรือวิญญูชนคงรู้ว่าใครแถลงเท็จและทางกรมราชทัณฑ์เอง ก็แถลงแบบนี้ทุกครั้ง ตั้งแต่คนไม่ป่วย ก็แถลงให้ป่วย จนกระทั่งส่งออกไปรักษาข้างนอกได้ ก็อยากถามทุกคนว่าเชื่อหรือไม่ แต่เป็นผม ถ้ากรมราชทัณฑ์แถลง ผมไม่เคยเชื่อ” เมื่อถามอีกว่าทางกรมราชทัณฑ์แถลงยืนยันว่าโรงพยาบาลราชทัณฑ์ มีเครื่องไม้เครื่องมือตามมาตรฐานการแพทย์นั้น นายกฤษฎางค์ บอกว่า ส่วนตัวยังไม่ได้ฟังแถลง แต่ถ้าแถลงว่าได้มาตรฐาน ขอเชิญผู้ป่วยทั้งหลายไปรักษาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ก็แล้วกัน

โดยเฉพาะคนไข้ที่ได้เข้าไปพักโทษแล้วไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจ ขอให้เขากลับมารักษาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ด้วย ตัวเองไม่เชื่ออยู่แล้ว เพราะปัญหานี้ทำให้เกิดความข้องใจ ซึ่งจริงๆ แล้วทางกรมราชทัณฑ์ควรตอบคำถามกับประชาชนดีกว่าตัวเองไม่ไหว เลยต้องส่งกลับมาที่โรงพยาบาลธรรมเฉลิมพระเกียรติ “ส่วนเรื่องเด็กจะกินข้าวหรือไม่กินข้าว มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ประเด็นสำคัญตอนนี้คือ เด็กตายในโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ในการดูแลของคุณ ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญกว่า มันต้องคุยกัน ถ้าจะออกมาแถลงแบบนี้”

“โดยวันนี้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เข้าไปเยี่ยมน.ส.ทานตะวัน ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ และถึงขั้นจะย้ายบางคนออก จึงอยากให้ลองคิดดูว่าสภาพโรงพยาบาลราชทัณฑ์เป็นอย่างไร และวันนี้เองก็มีทนายจากศูนย์ฯ ไปเยี่ยมทานตะวันแล้ว เนื่องจากเป็นพยานปากสำคัญ โดยทางเราอยากให้ทางรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมเก็บข้อมูลหลักฐานว่าบุ้งกินอะไรบ้าง กินเมื่อไหร่ และทำไมต้องส่งมาที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ สาเหตุเป็นเพราะอะไร และมีกล้องวงจรปิดหรือไม่”

ทั้งนี้หลังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ออกมาแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของบุ้งนั้น นายกฤษฎางค์ ตอบว่า “ผมอยากให้นายกฯ ลงมาดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจังมากกว่าที่จะพูด อยากให้ลงมาเลย และขอให้ส่งคนกลางมาร่วมดูแลเรื่องนี้ด้วย ร่วมกับรมว.ยุติธรรม เพราะถือเป็นผู้บังคับบัญชาของกรมราชทัณฑ์อยู่แล้ว อีกทั้งประเทศเรากำลังสมัครเป็นมนตรีสิทธิมนุษยชน ถ้าคนถูกคุมขังแล้วตายแบบนี้ ท่านจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ส่วนตัวมองว่าบุ้งเสียชีวิตในการควบคุมของรัฐบาลเศรษฐา ต้องหาคนรับผิดชอบ แต่ถ้าเป็นเหตุสุดวิสัย ก็ต้องว่ากันไป มันต้องชัดเจน“ อย่างไรก็ตาม เย็นนี้พ่อแม่บุ้งจะต้องเคลียร์เรื่องพิธีทางศาสนา ว่าจะจัดที่ไหนอย่างไร จะมีแถลงลงในเฟซบุ๊กอีกครั้ง จึงยังไม่ได้เคลื่อนศพวันนี้